17 ก.ย. เวลา 11:32 • ประวัติศาสตร์

“กาซา (Gaza)” จากชาวฟีลิสไตน์ถึงฮามาส

เรื่องราวของ “กาซา (Gaza)” หรือที่หลายคนเรียกว่า “ฉนวนกาซา” เป็นเรื่องราวที่ยุ่งยากและวุ่นวาย ความรุนแรงมีมาเรื่อยๆ ในประวัติศาสตร์
กาซา เป็นหัวข้อที่คนพูดถึงกันมาก แต่มีเพียงไม่กี่คนที่รู้จักประวัติศาสตร์ของพื้นที่แห่งนี้อย่างแท้จริง ความเข้าใจต่อสถานการณ์ในปัจจุบันจึงเป็นไปไม่ได้เลยหากไม่ย้อนกลับไปดูจุดกำเนิดของกาซา
ประวัติศาสตร์ของกาซา ซึ่งย้อนกลับไปได้หลายพันปี คือ ประวัติศาสตร์แห่งความขัดแย้งแทบไม่สิ้นสุด โดยพื้นที่นี้ตกเป็นเป้าของการแย่งชิงโดยอาณาจักรและมหาอำนาจนับไม่ถ้วน
ตรงกันข้ามกับอิสราเอล กาซาและปาเลสไตน์ไม่เคยเป็นรัฐเอกราชของตนเอง แม้แต่ในยุคคานาอัน กาซาก็ยังอยู่ภายใต้อำนาจของอียิปต์ ดังนั้นชาวกาซาจึงต้องเผชิญกับการถูกต่างชาติปกครองและแย่งชิงดินแดนอยู่ตลอด
ใจกลางเขตกาซาคือเมืองกาซาโบราณ ซึ่งมีอายุเกิน 4,000 ปี และเป็นหนึ่งในเมืองที่มนุษย์อาศัยต่อเนื่องมายาวนานที่สุดในโลก
เมืองนี้เคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของทั้งคานาอัน ฟีลิสไตน์ อัสซีเรีย อียิปต์ บาบิโลน และเปอร์เซีย
การเปลี่ยนมือเรื่อยๆ เช่นนี้ถือเป็นเรื่องปกติในลิแวนต์ในสมัยโบราณ เนื่องจากอิสราเอลเองก็ถูกยึดครองผลัดเปลี่ยนโดยอัสซีเรีย บาบิโลน และเปอร์เซียเช่นกัน
สาเหตุสำคัญก็คือ ภูมิศาสตร์ของกาซาที่เป็นที่แคบระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตะวันตกกับทะเลทรายทางตะวันออก ทำให้เป็นเส้นทางผ่านสำคัญของกองทัพจากอนาโตเลีย เปอร์เซีย กรีซ และอียิปต์
ต่อมา “พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช (Alexander the Great)” พระประมุขแห่งมาซิโดเนีย ได้พิชิตจักรวรรดิเปอร์เซีย และกาซาก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจของอาณาจักรกรีกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น
พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช (Alexander the Great)
แต่เมื่อจักรวรรดิกรีกแตกแยก กาซาก็ถูกผนวกเข้าสู่อำนาจของ ราชวงศ์ปโตเลมีแห่งอียิปต์
ในที่สุด อาณาจักรที่ขึ้นสู่อำนาจต่อจากกรีกก็ถูกจักรวรรดิโรมัน ครอบครอง และ “พระเยซู (Jesus)” ก็ประสูติในดินแดนไม่ไกลจากกาซา
ศาสนาคริสต์ได้ถือกำเนิดและหยั่งรากลึกในภูมิภาคนี้ แม้กระนั้น กาซาก็ยังคงยึดถือความเชื่อแบบพหุเทวนิยม และศาสนาคริสต์ก็ไม่เคยแพร่หลายไปทั่วเมืองเท่ากับพื้นที่ใกล้เคียงอื่นๆ
พระเยซู (Jesus)
เมื่อจักรวรรดิโรมันถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน กาซาก็ตกอยู่ใต้การปกครองของจักรวรรดิไบแซนไทน์ โดยตลอดเวลานั้น ชาวกาซาได้เห็นการต่อสู้ของชาวยิวกับโรมันซึ่งลงเอยด้วยความพ่ายแพ้และการทำลายตนเอง
ต่อมาในศตวรรษที่ 7 เมื่ออิสลามเริ่มขยายอำนาจ กาซาก็ถูกพิชิตโดยกองทัพมุสลิมจากคาบสมุทรอาหรับ และกลายเป็นเป้าหมายของรัฐอิสลามและจักรวรรดิไบแซนไทน์ที่ต้องการยึดดินแดนลิแวนต์กลับคืน
เรื่องราวของกาซายังคงดำเนินต่อไปอีกหลายศตวรรษ ผ่านการยึดครองของราชวงศ์และจักรวรรดินานัปการ ก่อนจะมาถึงความขัดแย้งในยุคสมัยใหม่ระหว่างอิสราเอล ปาเลสไตน์ และกลุ่มฮามาสที่เรารู้จักในปัจจุบัน
ประวัติศาสตร์อันยาวนานนี้ทำให้เข้าใจได้ว่าทำไมกาซาจึงยังคงเป็นหนึ่งในสมรภูมิการเมืองและศาสนาที่ซับซ้อนที่สุดของโลกจนถึงทุกวันนี้
ในยุคกลาง กาซาตกอยู่ภายใต้การยึดครองของกองทัพครูเสดชาวคริสต์ และถูกแย่งชิงกลับไปกลับมาระหว่างกองทัพชาวคริสต์กับกองทัพมุสลิมอยู่นานหลายสิบปี
1
ในที่สุด ดินแดนนี้ก็ถูกผนวกเข้าสู่จักรวรรดิออตโตมัน และอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิออตโตมันเกือบ 500 ปี และช่วงเวลานี้ก็ถือเป็นหนึ่งในยุคที่ยาวนานและสงบสุขที่สุดของกาซา
ก่อน “สงครามโลกครั้งที่ 1 (WWI)” เมืองกาซาได้ถูกบุก และเผาทำลาย เสียหายอย่างหนักถึงเจ็ดครั้ง
และสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็คือจุดเริ่มต้นของศตวรรษแห่งความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานที่กาซาไม่เคยเผชิญมาก่อนในประวัติศาสตร์โลก
สงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้จักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งเป็นผู้ปกครองกาซา ต้องล่มสลาย ทำให้ภูมิภาคนี้ตกอยู่ในสภาพไร้ขั้วอำนาจ
และจากการเจรจาการเมืองระหว่างมหาอำนาจ อังกฤษได้ยอมแลกเลบานอนและซีเรียให้ฝรั่งเศส แลกกับการครอบครองปาเลสไตน์ ส่งผลให้กาซาตกอยู่ในอำนาจของอังกฤษเป็นเวลาราว 30 ปี
อย่างไรก็ตาม อังกฤษไม่ได้ตั้งใจพัฒนาหรือบริหารปาเลสไตน์อย่างจริงจัง อังกฤษเพียงต้องการพื้นที่นี้เพื่อเชื่อมอาณานิคมระหว่างอินเดียกับอียิปต์มากกว่าจะเห็นคุณค่าในตัวกาซา กาซาจึงเป็นเพียงเส้นเชื่อมโยงจักรวรรดิของอังกฤษมากกว่าจะเป็นดินแดนที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจหรือวัฒนธรรมในสายตาเจ้าอาณานิคม
“สงครามโลกครั้งที่ 2 (WWII)” ผ่านไปพร้อมกับโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับชาวยิว และแนวคิดที่ว่าชาวยิวควรกลับมาตั้งถิ่นฐานในแผ่นดินอิสราเอลโบราณซึ่งก่อตัวมาตั้งแต่ยุค 20 (พ.ศ.2463-2472)-30 (พ.ศ.2473-2482) ก็ยิ่งทวีความเข้มข้นหลังสงคราม
ชาวยิวจากทั่วโลกได้อพยพเข้าสู่ปาเลสไตน์เป็นจำนวนมาก และผลักดันชนพื้นเมืองอาหรับ มุสลิม และชาวปาเลสไตน์ให้ออกจากถิ่นฐาน ความตึงเครียดจึงเดือดพล่านในปีค.ศ.1946 (พ.ศ.2489)
แทนที่อังกฤษจะจัดการปัญหา แต่อังกฤษกลับถอนตัว และส่งมอบอาณัติปาเลสไตน์ให้สหประชาชาติ
การถอนตัวของอังกฤษ ได้เปิดทางให้อิสราเอลประกาศเอกราชในปีค.ศ.1948 (พ.ศ.2491) และได้จุดชนวนสงครามครั้งใหม่ โดยอิสราเอลได้เป็นรัฐเอกราช แต่ปาเลสไตน์ยังคงอยู่เช่นเดิม
เดิมที สหประชาชาติวางแผนให้แบ่งปาเลสไตน์ออกเป็นรัฐมุสลิม-อาหรับและรัฐยิว พร้อมกับให้กรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองสากลภายใต้การดูแลระหว่างประเทศ แต่แผนการณ์นี้ล้มเหลว และในที่สุด อียิปต์ก็ได้เข้าครอบครองเขตกาซา
เหตุการณ์เหล่านี้คือรากฐานสำคัญที่ผลักดันให้กาซากลายเป็น ศูนย์กลางความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล ปาเลสไตน์ และโลกอาหรับ จนเป็นหนึ่งในสมรภูมิการเมือง ศาสนา และความมั่นคงที่ซับซ้อนที่สุดในศตวรรษปัจจุบัน
ปีค.ศ.1967 (พ.ศ.2510) ในช่วง “สงครามหกวัน (Six-Day War)” อิสราเอลได้ยึดเขตกาซาจากอียิปต์ และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กาซาก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจของอิสราเอล
นับจากปีค.ศ.1967 (พ.ศ.2510) จนถึงปัจจุบัน อิสราเอลปฏิเสธที่จะให้กาซามีเอกราช ขณะเดียวกัน ก็ไม่มีประเทศใดต้องการกลับมาบริหารกาซาอีก คล้ายกับที่อังกฤษเคยทำมาก่อน โลกอาหรับเลือกที่จะปล่อยปัญหากาซาไว้แทนที่จะเข้าไปพัวพันกับการเมืองที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงและเลือดเนื้อในดินแดนเล็กๆ แห่งนี้
1
ความคับข้องใจต่อการยึดครองที่ยืดเยื้อมานานกว่า 20 ปี นำไปสู่ การลุกฮือครั้งแรกในปีค.ศ.1987 (พ.ศ.2530) และในช่วงการประท้วงและความไม่สงบนี้เอง ได้เกิด “ขบวนการฮามาส (Hamas)” หรือชื่อเต็ม “Harakat al-Muqawamah al-Islamiyya” ซึ่งแปลว่า “ขบวนการต่อต้านอิสลาม”
ฮามาส เป็นแขนงติดอาวุธของขบวนการภราดรภาพมุสลิม (Muslim Brotherhood) สาขาปาเลสไตน์ และเริ่มทำสงครามกองโจรเพื่อต่อต้านการยึดครองของอิสราเอล
ตลอดเวลากว่า 10 ปี ฮามาสเติบโตทั้งด้านกำลังทหารและการเมือง นำชัยชนะทางการทหารมาสร้างคะแนนนิยมทางการเมือง และในปีค.ศ.2006 (พ.ศ.2549) ฮามาสชนะการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติปาเลสไตน์ ได้ที่นั่งส่วนใหญ่และเริ่มเข้าควบคุมกาซา
ปีค.ศ.2007 (พ.ศ.2550) ฮามาสใช้ความสำเร็จทางการเมืองเป็นฐานในการยึดอำนาจด้วยกำลังทหาร ขับไล่พรรคการเมืองอื่นออกจากกาซา และขึ้นปกครองดินแดนนี้โดยลำพัง
หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งอิสราเอลและอียิปต์ก็ประกาศปิดล้อมกาซา ซึ่งดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน
การปกครองของฮามาส ได้ทำลายโครงสร้างการเมืองที่เปราะบางและชอบธรรมที่เคยมีอยู่ และเปิดทางให้ลัทธิสุดโต่งและกองกำลังติดอาวุธเฟื่องฟู
ฮามาสได้รับเงินทุนและการสนับสนุนด้านอาวุธจากอิหร่านผ่านกลุ่มเฮซบอลเลาะห์ในเลบานอน และเปิดฉากโจมตีอิสราเอลหลายครั้งตลอดหลายปีที่ผ่านมา
จุดแตกหักครั้งใหญ่เกิดขึ้นในเดือนตุลาคม ค.ศ.2023 (พ.ศ.2566) เมื่อฮามาสก่อเหตุโจมตีครั้งใหญ่ในอิสราเอล ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,200 คน และมีการจับตัวประกันจำนวนมาก
เหตุการณ์นี้ได้จุดชนวนความขัดแย้งและการตอบโต้ทางทหารครั้งใหญ่ที่ยังคงดำเนินต่อไปจนถึงปัจจุบัน
หลังจากการโจมตีของฮามาสในเดือนตุลาคม ค.ศ.2023 (พ.ศ.2566) อิสราเอลได้เปิดฉากปฏิบัติการทางทหารที่รุนแรงและยืดเยื้อมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของตนต่อกาซา และตั้งแต่นั้นมา กาซาก็ต้องเผชิญกับการทิ้งระเบิดโจมตีอย่างไม่หยุดหย่อน เกิดการขาดแคลนอาหาร น้ำ และยารักษาโรคอย่างรุนแรง
อิสราเอลได้ประกาศว่า เป้าหมายคือการทำลายฮามาสให้สิ้นซาก แต่ไม่มีเส้นทางยุติหรือแผนฟื้นฟูการเมืองในกาซาที่ชัดเจน ทำให้ดินแดนแห่งนี้ติดอยู่ท่ามกลางความโกรธแค้นของอิสราเอล และเสียงประณามจากประชาคมโลก
สำหรับชาวปาเลสไตน์ในกาซา ก็แทบไร้หนทางช่วยเหลือ
ชาวปาเลสไตน์ในกาซาไม่มีรัฐของตนเอง ต้องอยู่ภายใต้การปิดล้อมทั้งทางบกและทางทะเล และไม่ได้รับการสนับสนุนจากนานาชาติอย่างเป็นรูปธรรม
สงครามในปัจจุบันซึ่งได้รับการขนานนามว่า “สงครามกาซา” ได้ทำลายอาคารกว่าครึ่งในเขตกาซา และคร่าชีวิตชาวปาเลสไตน์ไปแล้วหลายหมื่นคน ซึ่งในนั้นก็มีพลเรือนจำนวนมากรวมถึงผู้หญิงและเด็ก
แม้จะมีอารยธรรมต่อเนื่องกว่า 4,000 ปี แต่กาซาก็ยังคงเผชิญกับการทำลายล้างและความตายซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายใต้การควบคุมของมหาอำนาจต่างชาติ
จักรวรรดิออตโตมันล่มสลาย ส่วนอังกฤษก็ถอนตัวโดยไม่แก้ไขปัญหาที่ค้างคา และอิสราเอลก็ก้าวขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด ทำให้กาซาต้องถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวเรื่อยมา
นี่คือผลสะสมจากการบริหารที่ผิดพลาดมานานหลายร้อยปี สามารถย้อนกลับไปได้ถึงยุคคานาอันและฟีลิสไตน์ และยังคงเป็นรากลึกของความขัดแย้งในภูมิภาคจนถึงปัจจุบัน
1
ความขัดแย้งนี้ยังสะท้อนถึงประวัติศาสตร์การไร้รัฐของทั้งสองชนชาติ โดยอิสราเอลเองก็ไม่มีรัฐของตนมานานกว่า 2,000 ปี และเพิ่งกลับมาตั้งรัฐใหม่ได้เพียง 77 ปี ส่วนปาเลสไตน์นั้นไม่เคยมีรัฐของตนเองเลย แต่ก็ยังคงเรียกร้องสิทธิในการมีรัฐ
ในขณะที่ชาวปาเลสไตน์ต้องการมีรัฐของตน แต่ชาวอิสราเอลก็ไม่ต้องการสูญเสียรัฐของตนไปอีกครั้ง ซึ่งความกลัวและความหวาดระแวงนี้ก็ทำให้ทั้งสองชนชาติยังคงต่อสู้กันไม่สิ้นสุด
ดังนั้น กาซาในวันนี้จึงเป็นภาพสะท้อนของความขัดแย้งระหว่างอดีตและปัจจุบัน
จากเมืองการค้าสำคัญในเส้นทางเมดิเตอร์เรเนียนเมื่อหลายพันปีก่อน สู่สมรภูมิการเมือง ศาสนา และความมั่นคงระดับโลกในศตวรรษที่ 21
เรื่องราวของกาซายังคงดำเนินต่อไป พร้อมคำถามใหญ่ที่ยังไม่มีคำตอบว่าอนาคตของรัฐปาเลสไตน์จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ และวงจรสงครามนี้จะสิ้นสุดลงได้เมื่อใด
โฆษณา