6 ชั่วโมงที่แล้ว • หุ้น & เศรษฐกิจ

📌 เงินบาทแข็ง เศรษฐกิจพัง คนเลิกเชื่อดอลลาร์ หันไปซื้อทอง

สถานการณ์เศรษฐกิจบ้านเราตอนนี้เต็มไปด้วยความย้อนแย้งที่น่าขมวดคิ้ว เพราะภายใต้ตัวเลข ‘เงินบาท’ ที่แข็งค่าที่สุดในรอบ 4 ปี จนเป็นอันดับต้น ๆ ของภูมิภาค กลับมี 'สัญญาณความเปราะบาง' จากเศรษฐกิจให้ได้เห็นจาก GDP ของเราที่เติบโตอย่างเชื่องช้า คาดการณ์กันว่าแค่ 2% และที่น่าเจ็บปวดคือ การเติบโตที่น้อยนิดนี้ ยังต้องอาศัยการ ‘อัดฉีด’ ขาดดุลงบประมาณถึง 4% เพื่อพยุงมันเอาไว้
ทำไมถึงเป็นแบบนี้? ในการวิเคราะห์ล่าสุด ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) และที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) ได้ชี้ให้เห็นปัจจัยสำคัญ ที่อธิบายว่าทำไมเงินบาทถึงแข็งค่าราวกับเศรษฐกิจเราดีอย่างเฟื่องฟูถึงที่สุด ทั้งที่ความเป็นจริงมันไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น
รากฐานของปัญหาที่เราต้องทำความเข้าใจก่อน ไม่ใช่เรื่องของความเชื่อมั่นระยะสั้น แต่เป็น ‘คณิตศาสตร์’ ของอัตราเงินเฟ้อที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างเรากับประเทศอื่น ๆ
"โดยปกติแล้ว ค่าเงินเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น ไม่ว่าเราจะอ่อนค่าหรือแข็งค่า แนวคิดหนึ่งคือการดูว่าเงินเฟ้อของเรากับของเขาแตกต่างกันอย่างไร อย่างเช่น สมมติว่าประเทศไทยมีเงินเฟ้อเฉลี่ยปีละ 1% แต่อเมริกามีเงินเฟ้อเฉลี่ยปีละ 3% ก็แปลว่าเงินบาทไทยควรจะแข็งค่าเทียบกับเงินอเมริกาประมาณ 2% ต่อปี เพราะว่าเงินเฟ้อคือการเสื่อมค่าของเงิน”
“ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เงินเฟ้อที่อเมริกาเฉลี่ย 2.85% ต่อปี ส่วนเงินบาทไทยมีเงินเฟ้อเฉลี่ย 1.1% ต่อปี ฉะนั้น ในแต่ละปี เงินดอลลาร์จะเสื่อมค่าเทียบกับบาทไปประมาณปีละ 1.75% "
พูดง่าย ๆ คือ เงินบาทเรา ‘เสื่อมค่า’ ช้ากว่าเงินดอลลาร์มาโดยตลอด เมื่อสะสมมา 10 ปี เราจึงแข็งค่าขึ้นเกือบ 20% โดยธรรมชาติของมัน นี่คือปัจจัยพื้นฐานที่เงินบาทเป็นอยู่
แต่สิ่งที่กำลังเร่งปฏิกิริยาให้ทุกอย่างปั่นป่วนในตอนนี้ คือวิกฤตที่กำลังก่อตัวในฟากของ ‘เงินสกุลหลัก’ ของโลกเอง
ประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกาและยุโรป กำลังเผชิญปัญหาหนี้สาธารณะมหาศาล และกำลังเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า Fiscal Dominance หรือภาวะที่รัฐบาล (ฝ่ายการคลัง) "ถังแตก" จนต้องบีบให้ธนาคารกลาง (ฝ่ายการเงิน) ต้องเข้ามาช่วยอุ้มการขาดดุล
"เวลาที่รัฐบาลประเทศใหญ่ ๆ เริ่มมีปัญหาทางด้านการคลัง ก็จะกดดันแบงก์ชาติของตนให้ช่วยอุ้มการขาดดุลงบประมาณ เมื่อรัฐบาลมีหนี้เยอะ ก็มีวิธีแก้ปัญหาประมาณ 2-3 วิธี วิธีที่หนึ่ง คือเบี้ยวหนี้ (Default) เลย ซึ่งกรณีนี้มักจะเกิดขึ้นกับประเทศกำลังพัฒนาที่ไปกู้เงินต่างประเทศ และไม่สามารถไปกดดันแบงก์ชาติตัวเองได้”
“กรณีที่ 2 คือเป็นประเทศใหญ่และไม่ได้กู้เงินต่างประเทศมาก กรณีนี้คือการไปกดดันแบงก์ชาติตัวเองให้ลดดอกเบี้ย ซึ่งทรัมป์ทำอยู่ ถ้ากดดันให้ลดดอกเบี้ยแล้วยังดื้อ ก็อาจคิดจะเปลี่ยนผู้ว่าการฯ หรืออ้างกฎหมายอะไรบางอย่าง เช่น กรณีของตุรกี และกรณีทรัมป์ เมื่อตลาดเห็นเช่นนั้นก็จะเริ่มกลัว
และจะทำให้ค่าเงินอ่อนค่าไปล่วงหน้า ในบางกรณีอย่างเช่นฝรั่งเศส ซึ่งลดค่าเงินไม่ได้เพราะเป็นเงินยูโร ก็จะไปออกทางด้านดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลที่กู้ซึ่งปรับตัวสูงขึ้น ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลของฝรั่งเศสก็เลยเด้งขึ้นไป 3% ซึ่งสูงกว่าที่ควรจะเป็น หรือแม้กระทั่งสูงกว่าที่เอกชนของฝรั่งเศสเองกู้ได้”
1
“สุดท้ายคือการแก้ปัญหาหนี้สาธารณะที่ดีที่สุดจริง ๆ ก็คือโชคดีเศรษฐกิจโตเร็วขึ้น แล้วรัฐบาลมีรายได้มากขึ้น GDP สูงขึ้น หนี้ต่อ GDP ก็ลดลง ทางออกของหนี้ก็จะมีอยู่ 3 ทางหลัก ๆ นี้"
คำถามคือ เมื่อรัฐบาลเป็นหนี้ท่วมหัว พวกเขาจะแก้ปัญหานี้อย่างไร? ดร.ศุภวุฒิ ชี้ให้เห็นถึงทางออกที่เจ็บปวด แต่ประเทศใหญ่ ๆ มักจะเลือกใช้ นั่นคือการ "พิมพ์เงิน" หรือ "สร้างเงินเฟ้อ" เพื่อลดทอนมูลค่าที่แท้จริงของหนี้เก่า
"จากประสบการณ์ในอดีต มีหลายกรณีที่รัฐบาลจะแก้ปัญหาโดยให้แบงก์ชาติสร้างเงินเฟ้อ ซึ่งสามารถไปอ่านงานเขียนของนักเศรษฐศาสตร์อย่าง Kenneth Rogoff ที่เพิ่งเขียนลงในวารสาร Foreign Affairs ก็ได้ โดยวาระสำคัญก็คล้าย ๆ กันนี้ คือเมื่อถึงจุดหนึ่ง ทางออกอันหนึ่งก็คือการสร้างเงินเฟ้อ ด้วยเหตุผลนี้ เมื่อนักลงทุนที่ไหวตัวทันสงสัยว่าเงินกำลังจะเสื่อมค่า พวกเขาก็จำเป็นต้อง 'ขอถอย' ซึ่งสอดคล้องกับภาพที่ธนาคารกลางต่าง ๆ ได้ลดทอนการถือสินทรัพย์สหรัฐฯ ลง แล้วหันไปเพิ่มการถือทองคำแทน”
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมทองคำจึงพุ่งทะยานขึ้นในฐานะ ‘หลุมหลบภัย’ สุดท้าย
"ในตอนนี้ราคาทองคำปรับขึ้น เพราะว่าคนไม่รู้ว่าจะถือดอลลาร์สหรัฐ, ยูโร, เยน หรือเงินปอนด์อังกฤษดี เนื่องจากดูเหมือนว่าเงินสกุลหลัก ไม่มีอะไรดีสักอย่าง ก็เลยต้องหันไปทางทองคำ"
ทางด้านประเทศไทย เมื่อดอลลาร์อ่อน (เพราะปัญหาของบ้านเขา) และบาทแข็ง (เพราะเงินเฟ้อต่ำของบ้านเรา) หายนะจึงตกอยู่ที่ผู้ส่งออก แน่นอนว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่ได้นิ่งนอนใจ มีการเข้าแทรกแซงตลาดเพื่อ ‘ชะลอ’ การแข็งค่าของเงินบาท แต่ดูเหมือนว่าการแทรกแซงนั้นจะ "เอาไม่อยู่" เพราะตลาดยังคงดันให้บาทแข็งค่าต่อไป ปัญหาคือ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำลัง ‘เล่นมุกเดิม’ นี้นานเกินไป จนตลาด "รู้แกว" แล้ว พวกเขาทำแค่ ‘ชะลอ’ แต่ไม่ได้ ‘สกัด’ เทรนด์
แต่ปัญหาที่แท้จริง อาจไม่ใช่แค่เรื่องค่าเงินด้วยซ้ำ
ดร.ศุภวุฒิ มองลึกลงไปว่า ที่เงินบาทแข็ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะโครงสร้างเศรษฐกิจภายในของเราเองที่ ‘พัง’ เพราะเราพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวมากเกินไป ในขณะที่ตลาดในบ้านไม่มีกำลังซื้อ
"หากดูจากภาพปัจจุบัน จะเห็นว่าตลาดภายในประเทศอ่อนแอและเล็กเกินไปจนขับเคลื่อนไม่ออก ดังนั้นคนจึงต้องหันไปขายของในต่างประเทศ และเราก็ต้องหวังพึ่งนักท่องเที่ยว เมื่อเราเกินดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account Surplus) เงินบาทจึงแข็งค่าขึ้น การขยายอุปสงค์ในประเทศ (Domestic Demand) หรือขยายกำลังซื้อภายในประเทศ ดูเหมือนว่าจะเป็นแนวทางที่จะทำให้เงินบาทมีเสถียรภาพ โดยผ่านการทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดมีความสมดุลมากกว่านี้"
ตราบใดที่ 'ตลาดในบ้าน' ยังอ่อนแอ เราก็ยังต้องดิ้นรนขายของให้ต่างชาติ เมื่อเราขายของได้ (เกินดุลบัญชีเดินสะพัด) เราก็ได้เงินดอลลาร์กลับมา แล้วก็ต้องแลกกลับเป็นเงินบาท วัฏจักรนี้เองที่วนกลับมา 'บีบคอ' ให้เงินบาทแข็งค่าไม่หยุ ทางออกที่ยั่งยืนเพียงทางเดียว จึงเป็นการหันกลับมา 'อัดฉีดกำลังซื้อ' และสร้างตลาดภายในประเทศให้แข็งแรง เพื่อที่เราจะได้ยืนบนขาของตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพาจมูกคนอื่นหายใจ จนค่าเงินถูกบิดเบือนไปจากความเป็นจริงเช่นนี้
คุณคิดว่าทางออกของปัญหา 'บาทแข็ง-เศรษฐกิจพัง' นี้ควรเป็นอย่างไร? การ 'อัดฉีดกำลังซื้อ' เพื่อกระตุ้นตลาดในบ้าน คือคำตอบที่แท้จริงหรือไม่ ลองมาแชร์มุมมองแลกเปลี่ยนกันได้เลย
#BusinessTomorrow #เงินบาทแข็งค่า #เศรษฐกิจไทย #ทองคำ #เงินเฟ้อ #หนี้สาธารณะ
โฆษณา