7 ชั่วโมงที่แล้ว • ธุรกิจ

วิธีจัด Live สด ขายของ 100 ล้าน และเทคนิคตัด TikTok ให้สมองคนอยากดู จาก LA GLACE

เรื่องนี้ถูกแชร์ ภายในงาน MARKETING CONFERENCE 2025 โดย คุณธีระฑัต หนูดำ COO ของแบรนด์ LA GLACE และเจ้าของเพจ ใดๆในโลกล้วนการตลาด
เรื่องที่น่าสนใจมาก ๆ ใน Session นี้ คือการแชร์เทคนิคเบื้องหลังการไลฟ์ของ LA GLACE ที่สร้างรายได้หลัก 100 ล้าน ในไลฟ์เดียว รวดเดียว 25 ชั่วโมง
ซึ่ง Live นั้น ถือเป็นความสำเร็จที่ถูกพูดถึงมาก ของ LA GLACE ในช่วงแคมเปญ 8.8 เมื่อเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา
และยังมีอีกเรื่อง คือเทคนิคการตัด TikTok ให้สมองคนอยากดู สไตล์ LA GLACE
BrandCase สรุปมาให้ใน 6 ข้อ แบบเข้าใจง่าย ๆ
1.ใช้คอนเทนต์เป็นตัว Leads Traffic ก่อนขึ้น Live สด
เบื้องต้นแบรนด์จะประเมินตัวเลขและข้อมูลต่าง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อน Live สด ด้วยการคำนวณแบบย้อนกลับ จากเป้าหมายยอดขายที่ต้องการ
แล้วทำอย่างไร ? คุณธีระฑัต เล่าผ่านสมการ
Traffic (จำนวนคนเข้าดูร้านเฉลี่ย) x Conversion (% ลูกค้าที่ซื้อ) x Price (ยอดซื้อต่อคน) = Revenue (ยอดซื้อ)
ด้วยการใช้ข้อมูลจำนวนคนเข้าร้านเฉลี่ย จำนวนคนที่ซื้อจริง และยอดขายต่อออเดอร์ ซึ่งจะทำให้แบรนด์สามารถประมาณได้ว่า
ถ้าต้องการยอดซื้อเท่านี้ จะต้องการคนเท่าไรในการเข้ามาดูในไลฟ์
ตัวอย่างเช่น ถ้าอยากได้ 20 ล้านบาทจะต้องใช้ข้อมูล Conversion Rate (จากสถิติเดิมว่าคนเข้ามาดูเท่าไร เปลี่ยนเป็นลูกค้าได้กี่คน) และใช้ข้อมูล ยอดซื้อต่อออเดอร์ (Price per Order เฉลี่ยต่อคน)
เมื่อนำสองตัวแปรนี้มาคูณ ก็จะรู้ทันทีว่า ต้องการ Traffic กี่คน เข้ามาดูในไลฟ์เพื่อปิดยอดขายตามเป้า
แล้วก็เอามาคิดต่อ ว่าจะทำอย่างไร ให้คนเข้ามาดู Live สด ได้ตามเป้า
2. ทำอย่างไรให้ได้ Traffic ที่ต้องการ ? คำตอบคือ “คอนเทนต์”
ยกตัวอย่างเช่น ก่อนขึ้นไลฟ์ 8.8 ทาง LA GLACE ลงทุนทำคอนเทนต์ล่วงหน้า 15 วัน เพื่อดึงคนเข้าสู่แบรนด์ให้ได้มากที่สุด
ซึ่งทำให้แบรนด์สามารถเพิ่ม Traffic ได้มากถึง 400 ล้าน Leads
โจทย์คือ ทำอย่างไรก็ได้ ให้คนดูนานที่สุด และดูจบให้เยอะที่สุด เพื่อให้แพลตฟอร์มนำส่ง (lead) คอนเทนต์อย่างมีประสิทธิภาพ
เพราะนี่คือเงื่อนไขที่ทำให้แพลตฟอร์ม TikTok ดันคอนเทนต์ไปสู่ผู้ชมในจำนวนมาก
นอกจากนี้ยังมีการใส่ ดีเทลเล็ก ๆ เชิงจิตวิทยาเข้ามาช่วยเพื่อเพิ่ม Conversion ตั้งแต่ก่อนขึ้น Live สด
เช่น การเลือกชุดที่ใช้ในคอนเทนต์กับชุดวันไลฟ์ให้ใกล้เคียงกัน เพื่อสร้างความคุ้นเคย คนที่เห็นซ้ำบ่อย ๆ จะหยุดนิ้วและกดเข้ามาดูไลฟ์ง่ายขึ้น
3. เฟรมเวิร์กสำหรับทำคอนเทนต์ให้คนรู้จัก ก่อนขึ้น Live สด ของ LA GLACE ประกอบด้วยคอนเทนต์ 5 มิติ ได้แก่
-Awareness (เห็นบ่อย) เน้นการทำให้ลูกค้าเห็นแบรนด์บ่อยครั้ง
-Image (ภาพลักษณ์ที่แตกต่าง) เน้นการสร้างภาพลักษณ์ที่โดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่ง
-Quality (คุณภาพที่แตกต่าง) เน้นการนำเสนอคุณภาพของสินค้าในรูปแบบที่แตกต่าง
-Identity (ตัวตนที่แตกต่าง) เน้นการสร้างตัวตนที่ชัดเจนและแตกต่างของแบรนด์
-Storytelling (สร้างศรัทธา) เน้นการสร้างเรื่องราวเบื้องหลังเพื่อสร้างความศรัทธาและความผูกพัน
ซึ่งคอนเทนต์แนว Storytelling นี้จะช่วยสร้างความภักดี (Loyalty) ให้กับลูกค้าได้ค่อนข้างมาก
โดยแบรนด์จะต้องมีการสร้างเรื่องราวให้กับตัวละคร เพื่อดึงดูดความสนใจและความอินกับเรื่องราวของแบรนด์
โดยที่คอนเทนต์ทั้ง 5 มิตินี้มีเป้าหมายร่วมกันคือการทำให้คนดู ดูนาน ดูจบ, รักแบรนด์ รักตัวละคร, และจำแบรนด์ จำเรื่องราวได้
4. เทคนิคการตัดต่อคอนเทนต์ TikTok ฉบับ LA GLACE
หนึ่งในกุญแจสำคัญของ LA GLACE คือการทำให้คน ดูนาน ดูจบ และผูกพัน กับคอนเทนต์ ซึ่งเกิดจากการใส่เทคนิคทางจิตวิทยาและการตัดต่อที่ออกแบบมาอย่างละเอียด ให้ทุกวินาทีถูกออกแบบมาให้ควบคุมอารมณ์ของผู้ชมได้อย่างแยบยล
โดยเทคนิคการตัดต่อคอนเทนต์ TikTok ฉบับ LA GLACE แบ่งออกมาได้ 3 เทคนิคหลัก ๆ
-การกระตุ้น Dopamine (โดพามีน)
เทคนิคหลักคือการกระตุ้น Dopamine ผ่านการตัดต่อแบบ Jump Cut ทุก ๆ 2–3 วินาที
ทำให้คอนเทนต์มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สมองจึงถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่องและทำให้ผู้ชมดูจนจบ แม้คลิปจะยาวถึง 5-10 นาที ก็ตาม
-การสร้าง Oxytocin (ออกซิทอซิน)
นอกจากนั้น LA GLACE ยังสร้างความผูกพันด้วยการใส่ Oxytocin ผ่านตัวละครที่มีบุคลิกน่ารักและเข้าถึงง่าย
เมื่อลูกค้ารู้สึกใกล้ชิดกับคนในคลิป ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชมกับแบรนด์ก็จะลึกขึ้น กลายเป็นความรู้สึกหลงใหลและอยากติดตามต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ
-การใส่ Conflict (ความขัดแย้ง / ตึงเครียด)
และเพื่อให้คอนเทนต์น่าจดจำ แบรนด์ยังเลือกใช้ Conflict หรือความตึงเครียด ความขัดแย้งบางอย่างแทรกเข้าไปในเรื่องราว
เพราะสมองของคนเรามักจำเหตุการณ์ที่มีอารมณ์เข้มข้นได้ดีกว่า
เช่น เรื่องราวการถูกแกล้งในวัยเด็กหรือเหตุการณ์กดดันเล็ก ๆ ซึ่งกลายเป็นจุดที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าเรื่องราวนี้น่าสนใจและฝังอยู่ในความทรงจำ
5. กฎ 3 องค์ประกอบของการไลฟ์ TikTok
โดย AI ของแพลตฟอร์ม TikTok จะพิจารณาจาก 3 คีย์เวิร์ดหลัก ได้แก่
-คน (Person) ตัวผู้ขายหรือพรีเซนเตอร์
-สินค้า (Product) สิ่งที่นำเสนอ
-สถานที่ (Place) บริบทและสภาพแวดล้อมที่ใช้เล่าเรื่อง
ยิ่งทั้งสามองค์ประกอบสัมพันธ์กันมากเท่าไร โอกาสที่ไลฟ์จะถูกดันและเข้าถึงผู้ชมมากขึ้นก็สูงตามไปด้วย
ตัวอย่างเช่น การไลฟ์ขายอาหารทะเลที่ตลาดปลา ผลลัพธ์มีแนวโน้มดีกว่า การไลฟ์ที่ขายอาหารทะเลในบ้าน
เพราะตลาดปลาคือบริบทที่เชื่อมโยงกับสินค้าโดยตรง และถ้าอยากไปไกลกว่าคู่แข่งที่ไลฟ์ขายอยู่ในตลาดปลา วิธีที่เหนือชั้นกว่าคือ การไลฟ์ขายอาหารทะเลบนเรือประมง เพื่อสร้างบรรยากาศที่สมจริงและแตกต่างยิ่งขึ้น
แต่การไลฟ์ให้สำเร็จ ไม่ได้มีเพียงเรื่องฉากหรือการนำเสนอเท่านั้น แบรนด์ต้องมองไปถึง ศักยภาพตลาดและความต้องการจริง ๆ ของลูกค้าด้วย
เช่น LA GLACE ก่อนขึ้นไลฟ์จะศึกษามูลค่าตลาดของสินค้านั้น ๆ อย่างละเอียด อย่างกรณี Toner Pad ที่มีมูลค่าตลาดกว่า 2,400 ล้านบาท
และเมื่อวิเคราะห์คอนเทนต์ย้อนหลัง ก็พบว่าตนเองครองส่วนแบ่งการเข้าถึง (Lead Share) ไปถึง 97% ข้อมูลเหล่านี้ทำให้สามารถวางแผนสต๊อกสินค้าและหลังบ้านได้พอดี ไม่ขาดและไม่ล้น
อีกกลยุทธ์สำคัญคือการติดตามทุกการเคลื่อนไหวของตลาด LA GLACE แท็กคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์เครื่องสำอางและสินค้าบิวตี้กว่า 6,000 คำ
เพื่อเก็บ Insight ทั้งคำชม คำด่า และกระแสใหม่ ๆ อยู่เสมอ นั่นทำให้แบรนด์สามารถปรับตัวได้แบบเรียลไทม์ และอยู่ในทุกจังหวะที่ผู้บริโภคสนใจ
6. Customer Journey ที่ซับซ้อนของสินค้าความงาม
แม้ว่า LA GLACE จะสามารถสร้าง Traffic ได้มากถึง 400 ล้าน Leads ใน TikTok แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ยอดขายจริงกว่า 55% กลับมาจาก Shopee
สาเหตุเพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคกลุ่มบิวตี้ ไม่ได้เป็นเส้นทางตรงแบบเห็นแล้วซื้อทันที แต่เต็มไปด้วยความซับซ้อนและหลายขั้นตอน
โดยเส้นทางของลูกค้า LA GLACE ส่วนใหญ่เริ่มจากการ เห็นคอนเทนต์บน TikTok แล้วตามไป Test สีจริงที่หน้าร้าน
ก่อนจะกลับมาหาข้อมูลเพิ่มจากรีวิวบน Lemon8 หรือพูดคุยในกลุ่ม Facebook และสุดท้ายจึงปิดการซื้อโดยใช้โคดคูปองใน Shopee อย่างนี้เป็นต้น
พฤติกรรมนี้สะท้อนว่า Beauty Customer Journey ไม่ได้ผูกติดกับแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่ง แต่กระจายตัวอยู่ในทุกที่ที่ผู้บริโภคใช้เวลา
ดังนั้น แบรนด์ที่ต้องการปิดการขายในหมวดบิวตี้ จำเป็นต้องวางตัวเองให้ปรากฏในทุกจุดสัมผัส (Touchpoint)
ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มโซเชียล ร้านค้าหน้าสาขา หรือมาร์เก็ตเพลสออนไลน์
รวมถึงการให้ Value-Added Service อย่างการแชร์เทคนิคการแต่งหน้า เพื่อดึงลูกค้าให้อยู่กับแบรนด์และสร้างโอกาสปิดการขายได้จริง
#MKTCON2025 #CREATIVETALK #ContentShifu #Marketing #Technology
โฆษณา