21 ก.ย. เวลา 23:01 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

📌Meta ทุ่มงบ $600,000 ล้านไล่ล่า Superintelligence!

Mark Zuckerberg ซีอีโอ Meta ยืนยันแผนการลงทุนมูลค่ามหาศาลด้านปัญญาประดิษฐ์ โดยมองว่าความเสี่ยงที่แท้จริงคือการ 'ลงมือช้าเกินไป' ไม่ใช่เรื่องของการใช้จ่ายที่ผิดพลาด พร้อมเผยเบื้องหลังห้องปฏิบัติการวิจัยลับ TBD ที่มีวัฒนธรรมสุดขั้วอย่างการ "ไร้กำหนดส่ง" (no deadlines) เพื่อเป้าหมายสูงสุดเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือการสร้างปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูง
ท่ามกลางความกังวลต่อภาวะ ‘ฟองสบู่ AI’ ที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนที่ร้อนแรงเกินจริง Mark Zuckerberg ซีอีโอแห่ง Meta Platforms ได้ออกมาประกาศจุดยืนที่ชัดเจนและกล้าหาญ โดยยืนยันที่จะเดินหน้าทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อเร่งเครื่องสู่การเป็นผู้นำด้านปัญญาประดิษฐ์ พร้อมยอมรับความเสี่ยงทางการเงินเพื่อแลกกับการไม่พลาดสิ่งที่เขาเรียกว่า "โอกาสทางเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดในชีวิต"
โดยเขาตัดสินใจเปลี่ยนทิศทางครั้งใหญ่ของบริษัท เพราะยอมรับว่า AI รุ่นก่อนอย่าง Llama 3 ยังดีไม่พอที่จะทำให้ Meta กลายเป็นผู้นำในวงการได้
----------
🟢 ความเสี่ยงของ ‘ความล่าช้า’ ที่อาจเสียหายกว่า ‘ต้นทุน’
ประเด็นที่น่าจับตามองที่สุดคือมุมมองของ Zuckerberg ต่อคำถามเรื่องความเสี่ยงในการใช้จ่ายที่สูงถึง $600,000 ล้าน จนถึงปี 2028 ซึ่งเขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะฟองสบู่ AI ขึ้นจริง พร้อมเปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในอดีต เช่น ทางรถไฟ หรืออินเทอร์เน็ต ที่มักจะเกิดการลงทุนเกินความต้องการในระยะสั้นก่อนจะเข้าสู่ภาวะสมดุล อย่างไรก็ตาม เขากลับมองว่าความเสี่ยงที่น่ากลัวกว่านั้นรออยู่ในอีกด้านหนึ่ง
"ยอมรับว่าเงิน 6 แสนล้านดอลลาร์นั้นมหาศาลมาก ถ้าเราใช้พลาดไปสักแสนสองแสนล้านก็คงน่าเสียดาย แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าการเสียเงิน คือการที่เรา ‘ช้าเกินไป’ ลองคิดดูว่าถ้าเทคโนโลยี AI สุดล้ำเกิดขึ้นใน 3 ปี แต่เราวางแผนไว้สำหรับ 5 ปี เราจะตกรถไฟขบวนสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ทันที และจะพลาดโอกาสในการสร้างนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่มีมูลค่ามหาศาล ซึ่งนั่นเป็นความเสี่ยงที่ผมยอมรับไม่ได้"
ดังนั้นเขาจึงมองว่า การลงทุนแบบกล้าได้กล้าเสีย ยังดีกว่าการกลัวความล้มเหลวแล้วไม่ลงมือทำ เพราะ Meta เป็นบริษัทใหญ่พอที่จะรับความเสี่ยงทางการเงินได้โดยไม่ล้มละลาย
----------
🟢 TBD ห้องทดลองที่ ‘หยุดเวลา’ เพื่อเร่งอนาคต
Zuckerberg ตัดสินใจตั้งทีมวิจัยใหม่ขึ้นมาชื่อว่า "TBD" ซึ่งตอนแรกเป็นแค่ชื่อชั่วคราว แต่ทีมงานชอบจนกลายเป็นชื่อจริงไปแล้ว โดยหัวใจของทีมนี้คือการรวมหัวกะทิด้าน AI เอาไว้ด้วยกัน พูดง่าย ๆ คือ เป็นทีมขนาดเล็กที่อัดแน่นไปด้วยคนที่เก่งที่สุด โดยทุกคนในทีมจะเข้าใจภาพรวมทั้งหมดของโปรเจกต์ ทำให้ทำงานได้รวดเร็วและคล่องตัวมาก
แต่ที่พิเศษกว่านั้น คือนโยบายการทำงานของทีมนี้ที่เรียกว่า "ไม่มีกำหนดส่ง" (no deadlines)
"นักวิจัยเหล่านี้ทุกคนมีการแข่งขันสูง พวกเขาทุกคนต้องการอยู่แนวหน้า การที่ผมบอกพวกเขาว่าควรทำอะไรให้เสร็จภายใน 9 เดือน หรือ 6 เดือน หรืออะไรก็ตาม จะไม่ช่วยให้พวกเขาทำงานได้ดีขึ้น" เขาอธิบาย
Zuckerberg มองว่าการกำหนดเส้นตายจะสร้างข้อจำกัดที่ไม่จำเป็น และทำให้นักวิจัยหันไป "เลือกที่จะเพิ่มประสิทธิภาพย่อยให้กับปัญหา" (suboptimize the problem) แทนที่จะมุ่งแก้ปัญหาใหญ่เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่แท้จริง นั่นคือการสร้าง AI ที่สามารถพัฒนาปรับปรุงตัวเองได้อย่างมีความรับผิดชอบ
1
----------
เพื่อรองรับยุทธศาสตร์นี้ Meta ได้ทุ่มทุนมหาศาลเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผลที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่ง Zuckerberg ยืนยันว่า Meta มีพลังประมวลผลต่อนักวิจัยสูงกว่าห้องปฏิบัติการอื่นใดอย่างมีนัยสำคัญ
🟢 โดยการลงทุนนี้รวมถึงการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผลหลัก ๆ 2 อย่าง
🚩 Prometheus Cluster : คลัสเตอร์เดี่ยวสำหรับการฝึกโมเดล AI แห่งแรกของโลก ที่มีกำลังไฟฟ้าต่อเนื่องเกิน 1 กิกะวัตต์
🚩 Hyperion Data Center : ศูนย์ข้อมูลในรัฐลุยเซียนา ซึ่งคาดว่าจะสามารถขยายขนาดรองรับกำลังไฟฟ้าได้ถึง 5 กิกะวัตต์ ในอนาคตอันใกล้
การเดิมพันครั้งใหญ่นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นอันแรงกล้าของ Mark Zuckerberg และความพร้อมของ Meta ที่จะเผชิญหน้ากับความเสี่ยงทางการเงิน เพื่อที่จะไม่ตกขบวนรถไฟเที่ยวสำคัญที่สุดแห่งศตวรรษ ซึ่งหากทำได้สำเร็จ ก็อาจเปลี่ยนโฉมหน้าของเทคโนโลยีและโลกใบนี้ไปตลอดกาล
คุณคิดเห็นกับเรื่องนี้อย่างไร ลองคอมเมนต์มาแลกเปลี่ยนกันได้เลย
#FollowTheMoney #MarkZuckerberg #Meta #AI #Superintelligence #TechNews #Aibubble
โฆษณา