22 ก.ย. เวลา 12:39 • ธุรกิจ

วิสัยทัศน์ใหม่ Mark Zuckerberg โลกที่ทุกคนมี “AI ส่วนตัว” บนใบหน้า

ในหนึ่งวัน เราหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาดูกี่ครั้ง?
คำตอบอาจจะน่าตกใจ เพราะมีงานวิจัยชี้ว่า โดยเฉลี่ยแล้ว เราปลดล็อกหน้าจอ แตะ หรือปัดนิ้วบนโทรศัพท์มากกว่า 2,600 ครั้งต่อวันเลยทีเดียว
1
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสมาร์ทโฟนได้กลายเป็นศูนย์กลางของจักรวาลส่วนตัวเราไปแล้ว มันเป็นทั้งออฟฟิศเคลื่อนที่ ศูนย์รวมความบันเทิง และประตูที่เชื่อมเราเข้ากับโลกทั้งใบ
หลายคนอาจรู้สึกว่านี่คือจุดสูงสุดของเทคโนโลยีส่วนบุคคล แต่ในโลกของนวัตกรรม ไม่มีอะไรที่คงอยู่ตลอดไป..
เหมือนกับที่ยุคสมัยของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC) เคยถูกท้าทายและแทนที่ด้วยยุคของโทรศัพท์มือถือ วันนี้ บัลลังก์ของสมาร์ทโฟนเอง ก็กำลังสั่นคลอนอย่างรุนแรง
และคนที่กำลังจะล้มยักษ์ในครั้งนี้ ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นชายที่ชื่อ Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook และ CEO ของบริษัท Meta ที่มีบทสัมภาษณ์ล่าสุดที่น่าสนใจมาก ๆ ในช่อง youtube ชื่อดังอย่าง Rowan Cheung
Zuckerberg กำลังเดิมพันครั้งใหญ่ ด้วยเงินทุนมหาศาล และวิสัยทัศน์ที่จะเปลี่ยนโลกอีกครั้ง เขาเชื่อว่าแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์แห่งอนาคต จะไม่ได้อยู่ในมือของเราอีกต่อไป
แต่มันจะอยู่บน “ใบหน้า” ของเราแทน
เรื่องราวทั้งหมดนี้ อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ ที่อาจจะทำให้สมาร์ทโฟนที่เราคุ้นเคย กลายเป็นเพียงของล้าสมัยในพิพิธภัณฑ์ เหมือนกับที่เรามองโทรศัพท์บ้านในวันนี้
ย้อนกลับไปหลายปีก่อน Mark Zuckerberg หมกมุ่นกับการค้นหา “The Next Big Thing” เขาเชื่อว่ามนุษย์ต้องการวิธีโต้ตอบกับโลกดิจิทัลที่เป็นธรรมชาติมากกว่าการก้มหน้ามองจอเล็กๆ
ความหมกมุ่นนั้น นำไปสู่การทุ่มเงินหลายแสนล้านบาทไปกับเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง หรือ VR และพยายามผลักดันแนวคิด “Metaverse” ให้เกิดขึ้นจริง
แต่ Metaverse ก็ดูเหมือนจะยังเป็นเรื่องที่ไกลตัวคนส่วนใหญ่เกินไป มันยังไม่สามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันได้อย่างที่เขาหวังไว้
แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังจับจ้องไปที่โลกเสมือน Meta ก็กำลังซุ่มพัฒนาอาวุธอีกชิ้นหนึ่งอย่างเงียบๆ นั่นคือ “แว่นตาอัจฉริยะ”
การร่วมมือกับแบรนด์ระดับตำนานอย่าง Ray-Ban ในปี 2021 เพื่อสร้าง Ray-Ban Stories ถือเป็นเหมือนการโยนหินถามทาง แม้จะน่าสนใจ แต่ก็ยังขาดหมัดเด็ดที่จะเปลี่ยนโลกได้
จนกระทั่งล่าสุดในงาน Connect 2025 ที่ Meta ได้เปิดไพ่ใบสำคัญที่ซ่อนไว้ และประกาศอย่างเป็นทางการว่า แว่นตาอัจฉริยะไม่ใช่แค่ของเล่นอีกต่อไป
แต่มันคืออนาคตที่แท้จริงของการประมวลผลคอมพิวเตอร์
การกลับมาครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การปรับปรุงเล็กน้อย แต่คือการยกเครื่องยุทธศาสตร์ใหม่ทั้งหมด Meta เปิดตัวกองทัพแว่นตาถึง 3 รุ่น ที่มีเป้าหมายชัดเจนในการเจาะทุกไลฟ์สไตล์
รุ่นแรกคือ Ray-Ban Meta เจเนอเรชันใหม่ เปรียบเสมือนกองทหารราบสำหรับตลาด mass ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน ด้วยดีไซน์คลาสสิกที่ทุกคนคุ้นเคย
1
แต่ภายในนั้นอัดแน่นด้วยการอัปเกรดที่สำคัญ ทั้งแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานขึ้นสองเท่า กล้องวิดีโอความละเอียด 3K และฟีเจอร์ AI ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทอย่างแท้จริง
ลองนึกภาพฟีเจอร์อย่าง Conversation Focus ที่สามารถตัดเสียงรบกวนในร้านกาแฟ แล้วเร่งเสียงของเพื่อนที่คุยกับเราให้ชัดขึ้น นี่คือสิ่งที่ AI เริ่มทำให้ชีวิตเราดีขึ้นได้จริงๆ
รุ่นต่อมาคือ Oakley Meta Vanguard นี่คือกองกำลังพิเศษ ที่ออกแบบมาเพื่อภารกิจเฉพาะทาง นั่นคือกลุ่มนักกีฬาและผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้ง
มันถูกสร้างให้ทนทานกว่าเดิม กันน้ำได้ดีขึ้น กล้องถูกย้ายมาอยู่ตรงกลางเพื่อให้ได้มุมมองที่สมจริงที่สุด และที่สำคัญคือมันเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อย่างนาฬิกา Garmin ได้
คุณสามารถวิ่งมาราธอน แล้วให้แว่นตาบันทึกและตัดต่อวิดีโอไฮไลต์พร้อมสถิติให้โดยอัตโนมัติ นี่คือการตอบโจทย์เฉพาะกลุ่มที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
แต่หัวใจสำคัญและอาวุธที่ทรงพลังที่สุดในกองทัพนี้คือ Meta Ray-Ban Display glasses
นี่คือแว่นตารุ่นแรกของ Meta ที่มี “จอแสดงผลความละเอียดสูง” ติดตั้งอยู่ภายใน มันไม่ใช่แค่ไฟแจ้งเตือนอีกต่อไป แต่คือหน้าจอจริงๆ ที่สามารถแสดงข้อมูลซ้อนทับบนโลกแห่งความจริงได้
การมีจอภาพในแว่นตา คือการเปลี่ยนสถานะจาก “อุปกรณ์บันทึกภาพ” ให้กลายเป็น “แพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์” อย่างสมบูรณ์
แต่ลำพังแค่ฮาร์ดแวร์ที่ล้ำสมัยคงไม่พอ คำถามสำคัญคือ แล้วเราจะควบคุมมันได้อย่างไร? การสั่งงานด้วยเสียงก็ขาดความเป็นส่วนตัว การกดปุ่มก็ทำอะไรได้จำกัด
และนี่คือจุดที่ Meta เปิดตัวเทคโนโลยีที่เหมือนหลุดมาจากหนังไซไฟ ที่ชื่อว่า Meta Neural Band
เจ้า Neural Band คือสายรัดข้อมือที่ไม่ธรรมดา มันคือ “Neural Interface” หรืออุปกรณ์เชื่อมต่อกับระบบประสาท ที่จะมาปฏิวัติวิธีการที่เราสั่งงานคอมพิวเตอร์ไปตลอดกาล
หลักการทำงานของมันก็คือ ทุกครั้งที่เราคิดจะขยับมือ สมองจะส่งสัญญาณไฟฟ้าขนาดเล็กมากๆ ไปยังกล้ามเนื้อ Neural Band สามารถ “ดักจับ” สัญญาณนั้นได้ ก่อนที่นิ้วของเราจะขยับเสียอีก!
นั่นหมายความว่า เราสามารถควบคุมแว่นตาได้โดยแทบไม่ต้องขยับร่างกายเลย Zuckerberg สาธิตการพิมพ์ข้อความตอบกลับเพื่อน โดยแค่ขยับนิ้วเพียงเล็กน้อย เหมือนกำลังเขียนหนังสือในอากาศ
ลองนึกภาพตามว่า เรากำลังนั่งประชุมอยู่ แล้วมีข้อความด่วนเข้ามา เราสามารถพิมพ์ตอบกลับไปได้ทันที โดยไม่มีใครในห้องรู้ด้วยซ้ำ ไม่ต้องเสียสมาธิ ไม่ต้องเสียมารยาท
นี่คือการควบคุมที่แนบเนียน เป็นส่วนตัว และเป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่เคยมีมา มันคือจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้าย ที่จะทำให้แว่นตาอัจฉริยะกลายเป็นอุปกรณ์ที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน
ทั้งหมดนี้ เชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์ที่ใหญ่กว่านั้นที่ Zuckerberg เรียกว่า “Personal Superintelligence” หรือ “อัจฉริยภาพขั้นสูงส่วนบุคคล”
เขาเชื่อว่าแว่นตาคือ “ร่างกาย” ที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับ AI ในอนาคต เพราะมันเห็นในสิ่งที่เราเห็น ได้ยินในสิ่งที่เราได้ยิน AI จะไม่ได้เป็นแค่โปรแกรมในมือถืออีกต่อไป
แต่มันจะกลายเป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่อยู่กับเราตลอดเวลา คอยให้ข้อมูล แปลภาษา และนำทาง ส่วน Neural Band ก็คือ “สะพานเชื่อม” ระหว่างความคิดของเรากับ AI นั่นเอง
เบื้องหลังผลิตภัณฑ์เหล่านี้ คือปรัชญาการออกแบบที่น่าสนใจ 3 ข้อที่ทีมงาน Meta ยึดถือ หนึ่งคือมันต้องเป็น “แว่นตาที่ยอดเยี่ยม” ก่อน ไม่ใช่แกดเจ็ตที่เทอะทะ สองคือ “เทคโนโลยีต้องไม่มารบกวน” ทุกอย่างต้องเรียบง่ายและแนบเนียน
และสามคือ “ต้องให้ความสำคัญกับ Superintelligence อย่างจริงจัง” ซึ่งหมายถึงการออกแบบฮาร์ดแวร์เพื่อรองรับการอัปเกรดซอฟต์แวร์ AI ในอนาคตอยู่เสมอ
เมื่อนำภาพทั้งหมดมาต่อกัน เราจะเห็นยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนของ Meta ที่จะโค่นล้มบัลลังก์ของสมาร์ทโฟน
แล้วคำถามคือ มันจะทำได้จริงหรือ?
Zuckerberg เองก็มองว่ามันจะไม่เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป เหมือนกับที่สมาร์ทโฟนค่อยๆ เข้ามาแทนที่คอมพิวเตอร์ PC
พฤติกรรมของเราจะเริ่มเปลี่ยน โทรศัพท์จะถูกหยิบออกมาจากกระเป๋าน้อยลง เราไม่ต้องหยิบมันมาเพื่อดูเวลา ดูข้อความ หรือดูแผนที่อีกต่อไป เพราะทุกอย่างจะปรากฏขึ้นในสายตาของเราแทน
ฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ จะถูก “ดึง” ออกมาจากสมาร์ทโฟนทีละอย่างสองอย่าง จนวันหนึ่งเราอาจจะพบว่า เราแทบไม่ได้แตะต้องมันเลยตลอดทั้งวัน
แต่ฮาร์ดแวร์ที่ยอดเยี่ยม จะไร้ความหมายหากขาดซอฟต์แวร์ที่ชาญฉลาด และนี่คืออีกหนึ่งสมรภูมิที่ Meta ทุ่มสุดตัว
มีรายงานว่า Zuckerberg ได้ลงมาคุมทัพ “Superintelligence Lab” ด้วยตัวเองใน “Founder Mode” เขาเดินสายติดต่อนักวิจัย AI ที่เก่งที่สุดในโลกด้วยตนเอง เพื่อสร้างทีมที่แข็งแกร่งที่สุด
เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่แค่การสร้าง AI ที่ดี แต่คือการสร้าง AI ที่เป็นผู้นำของโลก
เพื่อไปให้ถึงจุดนั้น Meta กำลังลงทุนมหาศาลในการสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์สำหรับเทรน AI ที่ทรงพลังที่สุดในโลกอย่าง “Prometheus cluster” ซึ่งใช้พลังงานในระดับกิกะวัตต์
นี่ไม่ใช่การลงทุนเล่นๆ แต่คือการเดิมพันด้วยอนาคตของทั้งบริษัท ที่มีมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์
เมื่อมองไปข้างหน้า โลกที่ Mark Zuckerberg วาดภาพไว้ คือโลกที่กำแพงทางภาษาจะทลายลง เพราะเราสามารถเห็นคำแปลลอยขึ้นมาแบบเรียลไทม์เมื่อคุยกับชาวต่างชาติ
เป็นโลกที่เราสามารถเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ โดยมีคำแนะนำปรากฏขึ้นมาให้เห็นทีละขั้นตอน เป็นโลกที่เส้นแบ่งระหว่างโลกจริงกับโลกดิจิทัลจะเลือนรางลงอย่างสมบูรณ์
แน่นอนว่ามันมาพร้อมกับคำถามใหญ่ด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย ที่สังคมยังต้องหาคำตอบร่วมกันต่อไป
แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ คลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงได้เริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว และมันอาจจะทรงพลังกว่าที่หลายคนคาดคิด
เรื่องราวของ Meta และแว่นตาอัจฉริยะ คือบทพิสูจน์ว่าโลกของเทคโนโลยีไม่เคยหยุดนิ่ง ยุคสมัยของสมาร์ทโฟนที่ยิ่งใหญ่ ก็อาจมีวันสิ้นสุดลงได้เช่นกัน
การต่อสู้เพื่อชิงความเป็นเจ้าแห่งแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ครั้งใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และผู้ชนะ จะไม่ได้เป็นแค่ผู้กำหนดทิศทางของอุตสาหกรรม
แต่จะเป็นผู้กำหนดวิถีชีวิตของพวกเราทุกคนในทศวรรษหน้า
เรากำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกครั้งของประวัติศาสตร์ การเปลี่ยนผ่านจากคอมพิวเตอร์ในมือ ไปสู่คอมพิวเตอร์ที่ผสานรวมเข้ากับร่างกายและประสาทสัมผัสของเรา
และทั้งหมดนี้ มีจุดเริ่มต้นมาจากอุปกรณ์ที่ดูแสนธรรมดา ที่เรียกว่า “แว่นตา” นั่นเองครับผม
References: [.youtube/rowanchtechcrunch, theverge, meta, uploadvr]
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา