22 ก.ย. เวลา 09:30 • ข่าวรอบโลก

[ข้อตกลง ซาอุดิอาระเบีย-ปากีสถาน] สิ่งที่กำลังเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภูมิรัฐศาสตร์

สายตาที่ซาอุฯ มองสหรัฐฯ เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก?
ไฟแนนเชียลไทมส์ (FT) ได้รับข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ทางการซาอุดิอาระเบียว่า ข้อตกลงด้านความมั่นคงระหว่างริยาดและอิสลามาบัดได้ดำเนินการมาหลายปีแล้ว ผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการสัมภาษณ์จากสื่ออังกฤษฉบับนี้เน้นย้ำว่าผลประโยชน์ของทั้งสองประเทศเกี่ยวพันกันมานานหลายทศวรรษ และสังเกตเห็นว่าซาอุฯ มีส่วนสำคัญในโครงการระเบิดนิวเคลียร์ของปากีสถาน [1]
แน่นอนว่าไม่ใช่โดยตรง แต่ผ่านความช่วยเหลือทางการเงินในองค์รวมแก่ปากีสถาน เส้นทางสู่กลุ่มรัฐที่มีนิวเคลียร์ครอบครอง ของปากีสถานนั้นถูกปูทางด้วย “เงินเปโตรดอลลาร์” ของซาอุดิอาระเบีย
เครดิตภาพ: Financial Times
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พลจัตวาเฟรอซ ข่าน อดีตนายพลปากีสถานได้เขียนไว้ในหนังสือชื่อ “Eating Grass: The Making of the Pakistani Bomb” ว่า “เมื่อปากีสถานตกอยู่ภายใต้การคว่ำบาตรของชาติตะวันตกในช่วงทศวรรษ 1990 ซาอุดิอาระเบียได้ให้การสนับสนุนทางการเงินอย่างมากมาย ซึ่งทำให้ปากีสถานสามารถดำเนินโครงการนิวเคลียร์ต่อไปได้”
FT อ้างว่าย้อนกลับไปในปี 1974 ไม่นานหลังจาก “การทดสอบนิวเคลียร์ครั้งแรกของอินเดีย” และ “ชัยชนะของอิสราเอลในสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านอาหรับ”
ในปี 1973 นายกปากีสถานในขณะนั้น ซุลฟิการ์ อาลี บุตโต (ก่อนหน้านั้นบุตโตเคยเป็นประธานาธิบดีปากีสถานมาก่อน) ได้ร้องขอต่อกษัตริย์ไฟซาลแห่งซาอุดิอาระเบียให้สนับสนุนอิสลามาบัดในการค้นคว้าสร้างระเบิดนิวเคลียร์ของตนเอง อนึ่งในปี 1977 เมืองลยาลปุระของปากีสถานได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ไฟซาลบัด” เพื่อเป็นเกียรติแก่กษัตริย์ไฟซาล
กษัตริย์ไฟซาลแห่งซาอุดิอาระเบีย (ซ้าย) ซุลฟิการ์ อาลี บุตโต ผู้นำปากีสถาน (ขวา) เครดิตภาพ: AP
ปากีสถานได้ทำการทดสอบนิวเคลียร์ครั้งแรกในปี 1998 และในปี 1999 ตามที่ FT ระบุ โดยอ้างอิงจาก เฟรอซ ข่าน รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมซาอุดิอาระเบียได้เยี่ยมชมโรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียมของปากีสถาน และนับจากนั้นมาเป็นเวลากว่า 25 ปีแล้ว ราชอาณาจักรซาอุฯ ได้ขอให้ปากีสถาน “แบ่งปันความรู้ทางด้านเทคนิค” สำหรับโครงการนิวเคลียร์ของตน
แต่จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ทางการปากีสถานก็ยังคงตอบปฏิเสธทางซาอุไป อย่างไรก็ตามสถานการณ์โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป และเป็นการยากที่จะระบุว่าปากีสถานจะตอบสนองต่อคำขอของซาอุดิอาระเบียอย่างไรภายใต้สถานการณ์ใหม่เช่นนี้
1
เราควรย้อนกลับไปมองในเรื่องส่วนหนึ่งของการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่าง “อิสราเอล” กับ “ซาอุดิอาระเบีย” ข้อตกลงด้านกลาโหมร่วมกันระหว่างสองรัฐนี้กำลังจัดทำขึ้นภายใต้การสนับสนุนของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงข้อกำหนดเกี่ยวกับการให้การสนับสนุนทางทหารซึ่งกันและกันในกรณีที่เกิดการโจมตีขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลาง (เรื่องในอดีต)
ในขณะเดียวกันซาอุดิอาระเบียได้เคยรับการยินยอมให้เข้าถึงเทคโนโลยีนิวเคลียร์ของอเมริกา รวมถึงการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในการลงนามในข้อตกลง ซึ่งจะเกิดขึ้นภายในดินแดนของซาอุดิอาระเบีย พวกเขาตั้งใจที่จะเสริมสมรรถนะยูเรเนียมทั้งเพื่อความต้องการของตนเองและเพื่อการส่งออก แม้กระทั่งเตรียมที่จะให้กระบวนการนี้เกิดขึ้นที่โรงงานของอเมริกาและอยู่ภายใต้การคุ้มครองของอเมริกา แต่ขอให้อยู่ในดินแดนของซาอุดิอาระเบีย
ยังไม่มีข้อมูลเปิดเผยเกี่ยวกับจุดยืนของสหรัฐในประเด็นนี้ เป็นไปได้มากว่าที่สหรัฐจะปฏิเสธอย่างน้อยที่สุด การถ่ายโอนเทคโนโลยีการเพิ่มสมรรถนะยูเรเนียม แต่หลังจากข้อตกลงกับปากีสถาน ซาอุดิอาระเบียก็มีโอกาสใหม่ๆ เกิดขึ้น ศักยภาพด้านนิวเคลียร์ใหม่ๆ และแน่นอนว่าต้องอยู่ในเงื่อนไขที่ผ่อนปรนมากขึ้นกว่ากับอเมริกา อย่างน้อยพวกเขาก็เลือกที่จะไม่สุงสิงกับอิสราเอลตาม Abraham Accords ที่ทรัมป์สมัยแรกเป็นคนเริ่มขึ้น
เครดิตภาพ: Times of India
ข้อตกลงระหว่าง “ซาอุดิอาระเบีย-ปากีสถาน” เป็นข้อตกลงทางทหารครั้งแรกของซาอุกับประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ หรือข้อสันนิษฐานจะเป็นจริงที่ว่า ซาอุดิอาระเบียต้องการหยุดพึ่งพาสหรัฐฯ ในฐานะผู้ค้ำประกันความมั่นคงในภูมิภาค แต่ปัจจัยด้านอาวุธนิวเคลียร์ก็ถูกเน้นย้ำขึ้นมาเช่นกัน
“นี่คือข้อตกลงด้านกลาโหมที่ครอบคลุมหลายประเด็น ครอบคลุมทุกวิถีทางทางทหาร” อัลจาซีราอ้างอิงคำพูดของเจ้าหน้าที่ทางการของซาอุดิอาระเบียคนหนึ่ง โดยเขาได้ตอบคำถามที่ว่า ข้อตกลงด้านความมั่นคงร่วมกันนี้ครอบคลุมถึงการใช้อาวุธนิวเคลียร์ของปากีสถานเพื่อคุ้มครองซาอุหากจำเป็นด้วยหรือไม่ [2]
การกล่าวว่าข้อตกลงใหม่ระหว่างซาอุกับปากีนี้อาจมีความหมายเชิงยุทธศาสตร์นั้นก็คงดูไม่โอเวอร์จนเกินไป อย่างที่คาดไว้ “นาโตอาหรับ” ไม่ได้เกิดขึ้นจริงหลังจากการประชุมระหว่างกลุ่มประเทศอาหรับและมุสลิม เพราะดันอิสราเอลโจมตีเข้าไปในกาตาร์ กลุ่มอาหรับเลยคุยกันว่าจำเป็นต้องจับมือกันให้เหนียวแน่นขึ้น แต่ข้อตกลงซาอุดิอาระเบีย-ปากีสถานก็เพียงพอที่จะ “พลิกสถานการณ์” ในตะวันออกกลางได้ [3]
  • บทวิเคราะห์:
มันจะปรับเปลี่ยนโครงสร้างภูมิรัฐศาสตร์อย่างไรบ้าง ลองดูทีละประเทศ
  • อิหร่าน: ปากีสถานเคยเดินเรือกับทั้งซาอุดิอาระเบียและอิหร่าน โดยพึ่งพาจีนเป็นหลัก แต่ปัจจุบันความสมดุลกำลังเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจผลักดันให้อิหร่านกระชับความร่วมมือกับจีนและรัสเซียให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
  • อิสราเอล: ขณะเดียวกันการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดิอาระเบียและอิสราเอลก็ถูกคงเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด การเป็นพันธมิตรกับปากีสถาน ซึ่งไม่เคยยอมรับรัฐอิสราเอล ได้จำกัดพื้นที่การเจรจาของซาอุดิอาระเบียอย่างหนัก
  • อินเดีย: ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นกัน เมื่อปากีสถานได้รับการสนับสนุนทางเศรษฐกิจและการเมืองจากราชวงศ์อาหรับที่ร่ำรวยที่สุด สิ่งนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงดุลอำนาจของโลกในทันที แต่จะเพิ่มการแข่งขันในเอเชียใต้อย่างเห็นได้ชัด ทุกคนเข้าใจเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ฝ่ายซาอุดิอาระเบียได้กล่าวไว้แล้วว่าการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับปากีสถานไม่ได้หมายความว่าความสัมพันธ์กับอินเดียจะแย่ลง
  • สหรัฐอเมริกา: พวกเขากำลังเผชิญกับความจริงที่ว่าพันธมิตรสำคัญในตะวันออกกลางของตนไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความเป็นอิสระและความชอบในระบอบพหุขั้วอำนาจเท่านั้น แต่ยังท้าทายตรรกะของ “ร่มนิวเคลียร์ของอเมริกา” ในภูมิภาคนี้อีกด้วย
เครดิตภาพ: Justin Metz / The Economist
  • จีน: ในขณะเดียวกันจีนดูเหมือนจะเป็น “ผู้ชนะอย่างเงียบๆ” หลักจากข้อตกลงซาอุดิอาระเบีย-ปากีสถาน ด้วยความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับอิสลามาบัด ปักกิ่งไม่เพียงแต่ได้รับประโยชน์จากการเผชิญหน้าโดยตรงกับสหรัฐฯ ในตะวันออกกลางเท่านั้น แต่ยังได้รับอิทธิพลใหม่ในภูมิภาคผ่านทางซาอุดิอาระเบีย และการเข้าถึงทรัพยากรพลังงานและเส้นทางคมนาคมขนส่งที่มากขึ้น
  • รัสเซีย: พวกเขาคงมองเป็นบวก เพราะสถานการณ์แบบนี้กำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของระบอบพหุขั้วอำนาจระดับโลก และโอกาสที่จะผลักดันผลประโยชน์ของตนเองจากหลายมิติพร้อมกัน ในฐานะพันธมิตรของจีน อิหร่าน และซาอุดิอาระเบีย
รัสเซียซึ่งอาจจัดหาเทคโนโลยีนิวเคลียร์เพื่อสันติ (โรงไฟฟ้านิวเคลียร์) ให้กับซาอุดิอาระเบีย รวมถึงระบบเชื้อเพลิงเต็มรูปแบบ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เมื่อสหรัฐฯ ถอยหลังออกจากการแข่งขันด้านอาวุธนิวเคลียร์ในตะวันออกกลาง รัสเซียจึงมีโอกาสเพิ่มเติมสำหรับโครงการของ Rosatom ในซาอุดิอาระเบีย [4]
  • บทสรุป:
ข้อตกลงระหว่างซาอุดิอาระเบีย-ปากีสถานเป็นมากกว่าข้อตกลงทางการทหาร แต่มันเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ อย่างน้อยก็ในตะวันออกกลาง
ซาอุดิอาระเบียไม่พร้อมที่จะพึ่งพาสหรัฐฯ อย่างเดียวอีกต่อไป ขณะที่ปากีสถานกำลังเสริมสร้างบทบาทของตนในฐานะ “ผู้จัดหาความมั่นคงด้านนิวเคลียร์” ในโลกมุสลิม โดยรวมแล้วข้อตกลงนี้ยิ่งตอกย้ำความสำคัญของตะวันออกกลางในโลกหลายขั้วอำนาจใหม่ ซึ่งแนวทางแบบเดิมคือ สหรัฐ-อิสราเอล-อิหร่าน ไม่ได้กำหนดภาพรวมทั้งหมดอีกต่อไป
เรียบเรียงโดย Right Style
22nd Sep 2025
  • อ้างอิง:
<เครดิตภาพปก: Pakistan Observer>
โฆษณา