23 ก.ย. เวลา 07:32 • ประวัติศาสตร์

วิวัฒนาการของมนุษย์เมื่อ 1.75 ล้านปีก่อน

บรรพบุรุษของมนุษย์ยุคแรก ต่างต้องใช้ชีวิตอยู่กับความหวาดกลัวมาเกือบหนึ่งล้านปี โดยโลกในเวลานั้นเต็มไปด้วยอันตราย และสิ่งมีชีวิตอย่าง “โฮโมแฮบิลิส (Homo habilis)” ก็ไม่ได้อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร
พวกเขาเป็นฝ่ายถูกล่า ต้องพึ่งพาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และต้องระวังนักล่าที่หิวโหยอยู่ตลอดเวลา
แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อราว 1.8 ล้านปีก่อน โดยสายพันธุ์ใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้น ซึ่งจะเปลี่ยนทิศทางของประวัติศาสตร์ไปตลอดกาล นั่นคือ “โฮโม อีเร็กตัส (Homo erectus)” ซึ่งในภาษาละตินหมายถึง “มนุษย์ผู้ยืนตัวตรง”
โฮโม อีเร็กตัส (Homo erectus)
นี่ไม่ใช่เพียงก้าวเล็กๆ ในวิวัฒนาการ แต่เป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ที่ทำให้มนุษย์กลายเป็นนักล่าชั้นสูงสุด และเปิดทางให้มนุษย์เชี่ยวชาญเทคโนโลยีใหม่ๆ ตั้งแต่เครื่องมือหินไปจนถึงการสร้างเรือที่สามารถเดินทางข้ามมหาสมุทรได้
เรื่องราวของ “โฮโม อีเร็กตัส (Homo erectus)” เริ่มต้นจากความเข้าใจผิด โดยในศตวรรษที่ 19 นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากเชื่อว่ามนุษย์มีต้นกำเนิดในเอเชีย ไม่ใช่แอฟริกา ซึ่งแม้จะไม่มีหลักฐานยืนยันแนวคิดนี้ แต่ก็ทำให้ทั่วโลกสนใจ
ในปีค.ศ.1891 (พ.ศ.2434) นักมานุษยวิทยาชาวดัทช์นามว่า “ยูจีน ดูอยส์ (Eugene Dubois)” ได้ค้นพบสิ่งสำคัญบนเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย
ยูจีน ดูอยส์ (Eugene Dubois)
ดูบอยส์พบส่วนของกะโหลกศีรษะและกระดูกต้นขาสิ่งมีชีวิต และสรุปว่าเป็นซากของ “มนุษย์วานร” ที่เดินตัวตรงได้
แต่ในเวลานั้น นักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ ไม่เชื่อ และการค้นพบนี้ ซึ่งถูกเรียกว่า “มนุษย์ชวา (Java Man)” ก็ถูกลืมไปในที่สุด
ต่อมาในศตวรรษที่ 20 เรื่องนี้กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง
เมื่อมีการค้นพบซากมนุษย์ที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์ชวาในประเทศจีน โดยซากที่พบ ประกอบด้วยฟันและเศษกะโหลกจำนวนมาก และถูกเรียกว่า “มนุษย์ปักกิ่ง (Peking Man)“
มนุษย์ชวา” (Java Man)
ไม่นานนัก นักมานุษยวิทยาก็ตระหนักว่า มนุษย์ชวาและมนุษย์ปักกิ่งไม่ใช่สิ่งมีชีวิตแปลกแยกเฉพาะถิ่น แต่เป็นสมาชิกของสายพันธุ์ใหม่ชนิดเดียวกัน และตั้งชื่อว่า “โฮโม อีเร็กตัส (Homo erectus)” นี่เอง
ชื่อใหม่นี้ถือว่าเหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะเมื่อมีการพบโครงกระดูกที่สมบูรณ์มากขึ้น ก็เผยให้เห็นว่าขา เท้า และกระดูกสันหลังของโฮโม อีเร็กตัส ได้ถูกสร้างมาอย่างลงตัวสำหรับการเดินและวิ่งบนสองขา
โฮโม อีเร็กตัสไม่ได้แค่ยืนตัวตรงเท่านั้น แต่ยังยืนอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร และเป็นครั้งแรกที่สายพันธุ์มนุษย์กลายเป็นนักล่าชั้นสูงสุด
กระดูกสัตว์จำนวนมหาศาลที่พบร่วมกับซากโฮโม อีเร็กตัส ทำให้ทราบได้ว่าอาหารของพวกเขานั้นหลายหลาย มีสัตว์ขนาดกลางและใหญ่ เช่น แรด ฮิปโปโปเตมัส หมูป่า กวาง ม้า และแม้กระทั่งช้างด้วย โดยในบางพื้นที่ของเคนยา ยังพบหลักฐานว่าพวกเขา ล่าจระเข้มารับประทานด้วย
1
มนุษย์ปักกิ่ง (Peking Man)
เพื่อรับมือกับชีวิตนักล่า ร่างกายของโฮโม อีเร็กตัสได้เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด มีรูปร่างใหญ่กว่าบรรพบุรุษรุ่นก่อน โดยบางคนมีส่วนสูงถึง 185 เซนติเมตร กระดูกหนาและแข็งแรงเพื่อรองรับแรงกดดันจากการล่าสัตว์ใหญ่ เช่น แรดหรือช้างวัยอ่อน และมีความอึด ทนทานสูง มีต่อมเหงื่อเพื่อระบายความร้อน และมีขาที่ออกแบบมาสำหรับการวิ่งระยะไกล
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าโฮโม อีเร็กตัสใช้การล่าด้วยความอึด
คือการไล่ตามเหยื่ออย่างต่อเนื่องจนมันอ่อนแรงหรือเป็นลมแดด ซึ่งบ่อยครั้ง เหยื่อเหล่านั้นก็บาดเจ็บจากอาวุธ ทำให้ชะลอตัว ไม่ว่องไว
แต่อาวุธที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ “สมอง”
ขนาดสมองเฉลี่ยของโฮโม อีเร็กตัสอยู่ที่ประมาณ 1,030 ลูกบาศก์เซนติเมตร หรือราว 80% ของมนุษย์ปัจจุบัน โดยในยุคไพลสโตซีน ขนาดสมองนี้ถือว่าใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับสัดส่วนร่างกาย จนต่อมาจึงถูก “นีแอนเดอร์ทัล (Neanderthal)” แซงหน้า
นีแอนเดอร์ทัล (Neanderthal)
การเติบโตของสมองสัมพันธ์กับพัฒนาการด้านความคิด
ทำให้เกิดเครื่องมือหินแบบอาชูเลียน โดยมีขวานหินและมีดสับเป็นเอกลักษณ์ ใช้ล่าสัตว์ใหญ่และจัดการซากสัตว์เพื่อเตรียมทำเป็นอาหารที่มีแคลอรีสูง
แม้ยังไม่พบหอกจากยุคแรกเริ่มนี้ แต่โครงสร้างไหล่ของโฮโม อีเร็กตัสก็มีความใกล้เคียงกับมนุษย์ในปัจจุบัน จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าโฮโม อีเร็กตัสสามารถขว้างหอกได้อย่างแม่นยำและทรงพลัง
สำหรับการล่าสัตว์ใหญ่นั้น ต้องอาศัยความร่วมมือ ต้องทำงานเป็นทีม
ที่เคนยา มีการพบรอยเท้าโฮโม อีเร็กตัสอย่างน้อย 20 รอยเดินไปด้วยกัน ซึ่งบางรอยดูเหมือนเป็นกลุ่มผู้ชายล้วน แสดงถึงการจัดทีมล่า และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการแบ่งงานตามเพศ
การพึ่งพาเหยื่อขนาดใหญ่นี้มีผลอย่างลึกซึ้ง ถึงขั้นว่าการสูญพันธุ์เฉพาะพื้นที่ของโฮโม อีเร็กตัสในบางแห่ง เช่น ลิแวนต์และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เกิดขึ้นพร้อมหรือใกล้เคียงกับการสูญพันธุ์ของสัตว์ที่เป็นอาหารหลัก เช่น ช้างงายาวตรง และ เต่ายักษ์เมกาโลเคลิส
กล่าวได้ว่า โฮโม อีเร็กตัสคือนักล่าผู้ปฏิวัติความเป็นมนุษย์
ทั้งในด้านร่างกาย สมอง และวัฒนธรรมการล่า และเปลี่ยนเส้นทางวิวัฒนาการของมนุษย์ไปตลอดกาล
ผลลัพธ์จากการล่าสัตว์ใหญ่ของโฮโม อีเร็กตัส มีความหมายเกินกว่าจะเป็นเพียงอาหารมื้อหนึ่ง โดยปริมาณเนื้อจำนวนมากจากการล่าเพียงครั้งเดียวก็ทำให้เกิดการแบ่งปันอาหาร ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเลี้ยงสัตว์และเกษตรกรรมในยุคแรก
นอกจากนั้น สังคมของโฮโม อีเร็กตัสยังเป็นสังคมที่มีการดูแลสมาชิกที่อ่อนแอ โดยหลักฐานจากฟอสซิลทั่วโลกเผยให้เห็นว่า มี โฮโม อีเร็กตัสสูงอายุที่สูญเสียฟันทั้งหมด แต่ยังมีชีวิตอยู่ได้นานหลายปี แสดงว่ามีผู้อื่นช่วยเตรียมอาหารให้อ่อนนุ่ม เช่น สมองสัตว์หรือไขกระดูก เพื่อให้สามารถกินได้ อีกทั้งยังพบตัวอย่างที่มี โรคกระดูกสันหลังคด หรือโรคกระดูกจากฟลูออไรด์สูง แต่ยังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้
สิ่งเหล่านี้ชี้ว่าโฮโม อีเร็กตัสมีวัฒนธรรมการดูแลผู้ป่วยและผู้สูงอายุ ซึ่งสะท้อนถึงความผูกพันในชุมชน
สำหรับก้าวที่สำคัญของโฮโม อีเร็กตัสก็คือ “ไฟ”
มีการพบหลักฐานว่ามีการใช้ไฟตั้งแต่ 1.5 ล้านปีก่อน โดยตอนแรก พวกเขาน่าจะใช้ไฟจากธรรมชาติ เช่น ไฟป่า โดยใช้เชื้อเพลิงเผาไหม้ช้าอย่างมูลสัตว์ ก่อนที่ประมาณ 400,000 ปีก่อน พวกเขาได้เรียนรู้วิธีจุดไฟเองได้
ไฟมีบทบาทหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันสัตว์นักล่าอื่นๆ ให้ความอบอุ่น ทำให้อาหารสุก และทำให้การกินปลอดภัยขึ้น ย่อยง่าย และร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น
1
นอกจากนั้น การรวมกลุ่มรอบกองไฟอาจเป็นจุดเริ่มต้นของภาษาระดับต้น เพื่อประสานงานการล่าสัตว์และกิจกรรมร่วมกันในสังคม
สำหรับพัฒนาการด้านที่อยู่อาศัยและเครื่องนุ่งห่ม เมื่อ 1.7 ล้านปีก่อน ที่แทนซาเนีย มีการพบวงหินภูเขาไฟซึ่งเชื่อว่าเป็นฐานกำแพงกันลมหรือกระท่อมดั้งเดิม ก่อนที่ในเวลาต่อมา เมื่อ 700,000 ปีก่อน ที่เยอรมนี จะพบกระท่อมรอบกองไฟและค่ายพักฤดูหนาว ทำให้สามารถอยู่อาศัยในภูมิอากาศหนาวได้
นอกจากนั้น พวกเขายังสวมเสื้อผ้าง่ายๆ จากหนังสัตว์เพื่อทดแทนขนที่ร่างกายไม่มี
สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดคือ โฮโม อีเร็กตัสเป็นนักเดินเรือกลุ่มแรกของโลก
พวกเขาสามารถไปถึงเกาะต่างๆ ในอินโดนีเซียซึ่งไม่เคยเชื่อมกับแผ่นดินใหญ่ด้วยสะพานธรรมชาติ
นี่ไม่ใช่อุบัติเหตุจากการถูกพัดไปทะเล แต่เป็นการวางแผนอย่างจริงจัง ตั้งแต่การสร้างแพ ไปจนถึงการเดินเรือโดยมีการวางแผน
ทำให้โฮโม อีเร็กตัสกลายเป็นมนุษย์ที่แพร่กระจายเป็นวงกว้างและมีอายุยืนยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยอยู่รอดได้ยาวนานถึง ประมาณ 1.78 ล้านปี
1
แม้ว่าโฮโม อีเร็กตัสจะประสบความสำเร็จและดำรงอยู่ได้นานอย่างยิ่ง แต่ในที่สุดพวกเขาก็ได้สูญพันธุ์ไป
กลุ่มสุดท้ายของโฮโม อีเร็กตัสบนเกาะชวาได้สูญพันธุ์ไปเมื่อประมาณ 108,000 ปีก่อน โดยหลักฐานได้ชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศคือสาเหตุสำคัญ
สภาพแวดล้อมทั่วโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ป่าผลัดใบที่พวกเขาอาศัยอยู่หายไป สัตว์ใหญ่ที่เป็นเหยื่อหลักในการล่าก็ลดจำนวนลงหรือสูญพันธุ์ตามไปด้วย
ในที่สุด เกาะชวาก็ถูกปกคลุมด้วยป่าดิบชื้น ทำให้ภูมิประเทศเปิดโล่งที่เคยเหมาะกับการล่าหายไปอย่างสิ้นเชิง
โฮโม อีเร็กตัสเคยเป็นนักล่าที่ทรงพลังและปรับตัวเก่ง แต่กลับไม่สามารถปรับตัวได้ทันกับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
เมื่อเหยื่อหายากขึ้นและถิ่นอาศัยเปลี่ยนไป การอยู่รอดก็เป็นไปไม่ได้
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าโฮโม อีเร็กตัสก็ได้ทิ้งมรดกสำคัญทางวิวัฒนาการ ซึ่งปูพื้นฐานให้กับมนุษย์ในปัจจุบัน ทำให้เราเป็นเราอย่างทุกวันนี้
โฆษณา