Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Timeless History (ประวัติศาสตร์ไร้กาลเวลา)
•
ติดตาม
23 ก.ย. เวลา 11:26 • ประวัติศาสตร์
เหตุใดบราซิลจึงมีคนญี่ปุ่นอาศัยอยู่นับล้าน?
ที่ญี่ปุ่น มีชาวบราซิลมากกว่า 200,000 คนอาศัยอยู่ในญี่ปุ่น
และมีคนเชื้อสายญี่ปุ่นมากกว่า 2 ล้านคนอาศัยอยู่ในบราซิล
ซึ่งนั่นทำให้บราซิลเป็นประเทศชุมชนชาวญี่ปุ่นโพ้นทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก
เหตุใดจึงเป็นอย่างนั้น? ผมจะเล่าให้ฟังครับ
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ญี่ปุ่นได้เข้าสู่ยุคแห่งการเติบโตทางเศรษฐกิจและการปฏิรูปสังคมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งเรียกว่า “การปฏิวัติเมจิ (Meiji Revolution)”
หลังจากปิดประเทศมานานหลายศตวรรษ ญี่ปุ่นได้กระโจนเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมและโลกาภิวัตน์อย่างเต็มที่ กลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมสมัยใหม่ประเทศแรกที่ไม่ใช่คริสเตียนและไม่ใช่เชื้อสายคอเคเชียน
จากนั้น ญี่ปุ่นก็มีความก้าวหน้าครอบคลุมหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการก่อสร้าง การคมนาคม การใช้ไฟฟ้า การแพทย์ และการค้า
อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ก็ได้นำไปสู่ความปั่นป่วนและความไม่สงบทางสังคม เกิดปัญหาต่างๆ ตามมามากมาย เช่น
-ประชากรชนบทล้นเกิน แต่การดูแลสุขภาพและโภชนาการที่ดีขึ้นก็ทำให้อัตราการเสียชีวิตของทารกลดลง ในขณะที่ที่ดินทำกินถูกแบ่งย่อยจนเล็กเกินกว่าจะเพาะปลูกได้อย่างยั่งยืน
-การอพยพเข้าสู่เมือง ชาวชนบทบางส่วนย้ายเข้าสู่เมือง แต่หลายตำแหน่งงานอุตสาหกรรมยุคแรก เช่น การปั่นไหมและฝ้าย กลับนิยมจ้างแรงงานเป็นหญิงวัยรุ่นมากกว่าคนสูงวัย
-การเก็บภาษีของรัฐบาลกลางเพื่อสร้างเครื่องมือสำคัญของรัฐสมัยใหม่ เช่น เครือข่ายรถไฟ โรงไฟฟ้า และกองทัพ รัฐบาลใหม่ได้เริ่มเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติม ส่งผลให้ภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนเพิ่มขึ้น
ปัจจัยทั้งหมดนี้กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงลึกต่อสังคมญี่ปุ่นในเวลาต่อมา รวมถึงการอพยพย้ายถิ่นของผู้คนจำนวนมากไปยังต่างประเทศด้วย
ดังนั้น ภายในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ชีวิตของชาวนาที่ปลูกข้าวในญี่ปุ่นก็ถือว่าลำบากอย่างยิ่ง และในเวลาเดียวกัน บราซิลก็เป็นหนึ่งในประเทศไม่กี่แห่งในโลกที่กำลังเผชิญความปั่นป่วนใหญ่เช่นกัน
ปีค.ศ.1888 (พ.ศ.2431) บราซิลกลายเป็นประเทศสุดท้ายในทวีปอเมริกาที่เลิกทาส ซึ่งการเลิกทาสนั้นเป็นข่าวดีต่อมนุษยชาติโดยรวม แต่เป็นข่าวร้ายสำหรับเหล่าเจ้าของไร่กาแฟและน้ำตาล เพราะพวกเขาต้องเริ่มจ่ายค่าจ้างแรงงานแทนการใช้ทาส มีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่ม
จะให้เลิกทำไร่กาแฟก็เป็นไปไม่ได้ เพราะในเวลานั้น บราซิลผลิตกาแฟได้ถึงประมาณ 75% ของปริมาณกาแฟทั่วโลก และกาแฟก็คิดเป็นครึ่งหนึ่งของการส่งออกทั้งหมดของประเทศ
ทว่าอดีตทาสจำนวนมากก็ไม่ต้องการกลับไปทำงานในไร่อีก ดังนั้นคำถามคือ บราซิลจะหาแรงงานจากไหน?
คำตอบแรกที่ชัดเจนคือ “ยุโรป”
เช่นเดียวกับหลายประเทศในทวีปอเมริกา ชนชั้นนำบราซิลตอบสนองต่อการเลิกทาสด้วยนโยบายนำเข้าแรงงานชาวยุโรปจำนวนมากเพื่อเจือจางประชากรผิวดำ
ในช่วงแรก ชาวยุโรปยินดีอพยพมาบราซิล โดยชาวอิตาลี โปรตุเกส เยอรมัน สเปน และยุโรปตะวันออกหลายล้านคนได้เดินทางสู่บราซิลในช่วงปลายยุคก่อนเลิกทาสและอีกหลายทศวรรษถัดมา โดยมีจุดประสงค์เพื่อแสวงหาความมั่งคั่งและเริ่มต้นชีวิตใหม่
แต่เมื่อเวลาผ่านไป การชักชวนชาวยุโรปให้มายังบราซิลก็เริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ สภาพการทำงานในไร่กาแฟก็เลวร้ายเป็นที่เลื่องลือ หัวหน้าคนงานยังคงใช้แส้เฆี่ยนคนงาน แม้แต่แรงงานอพยพที่ถูกระบุว่าเสรีแล้วก็ยังโดน
1
ความโกรธเคืองและไม่พอใจ ทำให้ในปีค.ศ.1902 (พ.ศ.2445) รัฐบาลอิตาลีได้สั่งยกเลิกการจ่ายเงินแก่ผู้ที่อพยพไปบราซิล นั่นหมายความว่าชาวอิตาลีที่อยากไปบราซิลต้องซื้อบัตรโดยสารเองแทนที่จะได้รับฟรีจากรัฐบาลบราซิลเหมือนแต่ก่อน
บราซิลในเวลานั้นยังเสียเปรียบอาร์เจนตินาและสหรัฐอเมริกาในฐานะจุดหมายปลายทางสำหรับผู้อพยพ โดยที่สหรัฐอเมริกา ในเมืองอย่างดีทรอยต์หรือชิคาโก แรงงานสามารถหาเงินได้หลายเท่าของค่าแรงคนงานในไร่กาแฟที่บราซิล ขณะที่ในอาร์เจนตินา แรงงานมีโอกาสได้ครอบครองที่ดินของตนเอง ไม่ต้องเป็นเพียงคนงานในไร่
ทั้งสภาพอากาศและวัฒนธรรมในสองที่นั้นก็คล้ายกับยุโรปมากกว่าบราซิล ซึ่งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ปัญหาคอร์รัปชัน และความเหลื่อมล้ำ บราซิลถือว่าล้าหลังกว่าอยู่แล้ว
เมื่อไม่สามารถดึงดูดแรงงานชาวยุโรปได้เพียงพอ ชนชั้นนำของบราซิลจึงหันไปมองที่ “ญี่ปุ่น”
ในขณะที่อาร์เจนตินาไม่สนใจรับแรงงานเอเชีย และสหรัฐอเมริกาเต็มไปด้วยกระแส “ภัยเหลือง (Yellow Peril)“ ซึ่งนำไปสู่ข้อจำกัดต่อคนญี่ปุ่น ทำให้มีคนญี่ปุ่นเข้าไปยังอาร์เจนตินาและสหรัฐอเมริกาน้อยมาก
แต่บราซิลกลับมีความเป็นสังคมผสมเชื้อชาติสูงอยู่แล้ว มีความผสมผสาน จึงไม่มองว่าการรับชาวญี่ปุ่นจะเป็นความเสี่ยงทางสังคม อีกทั้งรัฐบาลบราซิลยังยอมจ่ายค่าตั๋วเรือให้ผู้อพยพด้วย
ปีค.ศ.1908 (พ.ศ.2451) ชาวญี่ปุ่นจำนวน 781 คนได้เดินทางถึงรัฐเซาเปาโล ประเทศบราซิล เพื่อทำงานในไร่กาแฟ
นี่คือจุดเริ่มต้นของการอพยพอย่างต่อเนื่องกว่า 50 ปี ซึ่งจะมีชาวญี่ปุ่นย้ายถิ่นฐานรวมแล้วกว่า 240,000 คนเลยทีเดียว
แต่ชีวิตเมื่อเดินทางมาถึงก็ไม่ง่ายเลย ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากพบว่าตนเองถูกรัฐบาลหลอก ซึ่งแทนที่จะร่ำรวยอย่างรวดเร็ว มีเพียงไม่กี่คนที่หาเงินได้มากพอ ในขณะที่อีกหลายคนไม่สามารถแม้แต่จะซื้อตั๋วกลับบ้าน
2
อย่างไรก็ตาม ชาวญี่ปุ่นก็สร้างฐานะที่มั่งคั่งขึ้นในสังคมบราซิลได้ โดยเริ่มปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น พริกไทย สตรอว์เบอร์รี และผลไม้เมืองร้อนหลากชนิด และมีการนำวิธีทางการเกษตรเข้มข้นมาใช้ เช่น ใช้ปุ๋ยและปุ๋ยหมักเพื่อเพิ่มผลผลิตแทนการขยายพื้นที่เพาะปลูก อีกทั้งมีการจัดตั้งสหกรณ์การเกษตรเพื่อตัดวงจรพ่อค้าคนกลางและขายตรงสู่ตลาด
ภายในปีค.ศ.1940 (พ.ศ.2483) ถึงแม้จะมีชาวญี่ปุ่นเพียง 3.5% ของประชากรในรัฐเซาเปาโล แต่ 3.5% นั้นกลับเป็นกำลังหลักในการผลิตอาหารสำคัญ เช่น
-ลูกพีช สตรอว์เบอร์รี และไหม 100%
-สะระแหน่และชา 99%
1
-มันฝรั่งและผัก 80%
-ไข่ 70%
-กล้วย 50%
-ฝ้าย 40%
-กาแฟ 20%
ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงบทบาทสำคัญอย่างยิ่งของชุมชนชาวญี่ปุ่นในภาคเกษตรกรรมของบราซิล
เวลาผ่านไป ชาวญี่ปุ่นค่อยๆ ย้ายจากชนบทเข้าสู่เมืองใหญ่ โดยเฉพาะนครเซาเปาโล โดยชาวญี่ปุ่นได้ประกอบอาชีพต่างๆ เช่น เป็นพ่อค้าผักผลไม้ เป็นเจ้าของร้านซักรีด นักบัญชี วิศวกร และแพทย์
อย่างไรก็ตาม แม้ชุมชนชาวญี่ปุ่นจะเจริญรุ่งเรือง แต่ในสังคมบราซิลได้เกิดกระแสความไม่พอใจในกลุ่มชาวญี่ปุ่น โดยสาเหตุสำคัญก็มาจากการที่ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่แต่งงานกันเองภายในชุมชน ยึดธุรกิจครอบครัวของตนเอง ใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นหลัก และยังหวังจะกลับไปบ้านเกิดที่ญี่ปุ่นในสักวันหนึ่ง
ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ชาวญี่ปุ่นถูกมองว่าไม่ภักดีและแปลกแยก แม้พวกเขาจะมีส่วนสำคัญต่อเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศก็ตาม
ยุค 30 (พ.ศ.2473-2482) เป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความปั่นป่วน ทั้งภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) จักรวรรดิญี่ปุ่นก็ก้าวร้าวและขยายอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งการขึ้นสู่อำนาจของ “เฌตูลียู วาร์กัส (Getúlio Vargas)” ผู้นำประชานิยมและชาตินิยมที่ปกครองในลักษณะเผด็จการแห่งบราซิล
เฌตูลียู วาร์กัส (Getúlio Vargas)
ในยุคของวาร์กัส ได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อชาวญี่ปุ่นในบราซิล โดยแม้สังคมบราซิลในเวลานั้นจะมองว่าชาวญี่ปุ่นเป็นแรงงานที่ขยันและมีระเบียบวินัย แต่ก็ยังถูกมองว่าเป็น คนต่างด้าว คือทำงานเก่ง แต่ไม่มีวันเป็นคนบราซิลไปได้
รัฐบาลจึงออกกฎหมายใหม่เพื่อบังคับให้มีความกลมกลืนทางวัฒนธรรมมากขึ้น เช่น หนังสือพิมพ์ภาษาชนกลุ่มน้อย (เช่น เยอรมันหรือญี่ปุ่น) ต้องตีพิมพ์เป็นภาษาโปรตุเกสด้วย โรงเรียนภาษาของชนกลุ่มน้อยก็ถูกสั่งปิด และมาตรการอื่นๆ ที่มุ่งจำกัดการใช้ภาษาและวัฒนธรรมดั้งเดิมก็ถูกนำมาบังคับใช้
มาตรการเหล่านี้สะท้อนถึงความพยายามของรัฐในการกลืนชาวญี่ปุ่นให้เป็นบราซิลโดยสมบูรณ์ท่ามกลางกระแสชาตินิยมที่รุนแรงในยุคนั้น
ต่อมา บราซิลได้เข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่สองโดยอยู่ฝ่ายสัมพันธมิตร และในช่วงสงครามนี้เอง กระแสต่อต้านชาวญี่ปุ่นก็รุนแรงถึงขีดสุด
มาตรการที่ชาวญี่ปุ่นในบราซิลต้องเผชิญ ก็เช่น ถูกยึดวิทยุสื่อสาร ห้ามคนญี่ปุ่นขับรถทุกชนิด แม้จะเป็นคนขับแท็กซี่หรือรถโดยสารก็ห้าม ห้ามพูดภาษาญี่ปุ่นในที่สาธารณะ และธุรกิจของคนญี่ปุ่นจำนวนมากก็ถูกปล้นและทำลาย
เหตุการณ์ที่น่าสนใจในช่วงนั้นคือการปรากฎตัวของกลุ่มก่อการร้ายญี่ปุ่น-บราซิลชื่อ “ชินโดเรนเม (Shindo Renmei)” ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยุยงให้เกิดการก่อวินาศกรรมต่อกองทัพบราซิล
หลังสงครามสิ้นสุด ได้เกิดความสับสนอย่างมากในชุมชนชาวญี่ปุ่น-บราซิลเกี่ยวกับข้อเท็จจริงของสงคราม ซึ่งชาวญี่ปุ่นในบราซิลส่วนใหญ่ยังพูดภาษาโปรตุเกสได้ไม่ดีนัก หนังสือพิมพ์ภาษาญี่ปุ่นหลายฉบับก็ปิดตัวลงเพราะต้นทุนสูงจากการถูกบังคับให้พิมพ์สองภาษา
1
เมื่อญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงคราม มีชาวญี่ปุ่นในบราซิลจำนวนไม่น้อยที่ไม่เชื่อข่าวนี้ บางคนถึงขั้นเชื่อว่าสงครามยังไม่จบ หรือแม้แต่ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายชนะ
กลุ่มชินโดเรนเมจึงทำการสังหารผู้ที่ตนเรียกว่าเป็น “ชาวญี่ปุ่นหัวใจสกปรก” ก็คือเหล่าผู้ที่ยอมรับความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่น และแม้จะมีชาวบราซิลเชื้อชาติอื่นถูกสังหารน้อยมาก แต่เหตุการณ์เหล่านี้ก็ทำให้ชาวญี่ปุ่น-บราซิลถูกมองว่าเป็นพวกหัวรุนแรงและคลั่งชาติ
ความพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สองได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิดอย่างถาวรในหมู่ชาวญี่ปุ่น-บราซิล
เมื่อตระหนักว่าบ้านเกิดได้ถูกทำลายลง ความหวังที่จะกลับญี่ปุ่นก็แทบหมดไป
ชาวญี่ปุ่นในบราซิลจึงหันมาใส่ใจในการกลมกลืนเข้ากับสังคมบราซิลอย่างจริงจัง โดยการเปลี่ยนแปลงสำคัญก็เช่น มีการแต่งงานข้ามเชื้อชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นในยุค 50 (พ.ศ.2493-2502) แต่กลายเป็นเรื่องธรรมดาในยุค 70 (พ.ศ.2513-2522)
นอกจากนั้น ภาษาโปรตุเกสก็ได้กลายเป็นภาษาหลัก เด็กรุ่นใหม่เติบโตขึ้นโดยใช้ภาษาโปรตุเกสเป็นภาษาหลัก และบางคนก็พูดได้เพียงภาษาเดียว
ทางด้านศาสนา มีการเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก โดยชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่รับศีลล้างบาปแบบคาทอลิก และมักเลือกพ่อแม่ทูนหัวเป็นชาวบราซิลเพื่อสร้างสายสัมพันธ์กับชุมชนท้องถิ่น
1
ผลลัพธ์ก็คือ ชาวญี่ปุ่น-บราซิลได้ผสานตัวกับสังคมบราซิลได้อย่างลึกซึ้ง กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมบราซิลในที่สุด
แต่เรื่องตลกร้ายก็เกิดขึ้น เพราะในขณะที่ชาวญี่ปุ่น-บราซิลเริ่มยอมรับว่าบราซิลคือบ้านของตน ญี่ปุ่นกลับกำลังเข้าสู่ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจครั้งที่สอง ครั้งที่ยิ่งใหญ่กว่าครั้งแรกเสียอีก
เมื่อถึงยุค 80 (พ.ศ.2523-2532) บราซิลได้เริ่มเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ ขณะที่ญี่ปุ่นกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
เมื่อเป็นอย่างนี้ ชาวญี่ปุ่น-บราซิลจำนวนมากจึงเริ่มอพยพกลับ “บ้านเกิด”
ในช่วงแรก ญี่ปุ่นต้อนรับพวกเขาด้วยความยินดี เนื่องจากโรงงานกำลังขาดแคลนแรงงานราคาถูกท่ามกลางวิกฤตอัตราการเกิดต่ำ และสังคมญี่ปุ่นเองก็ไม่พอใจกับผู้อพยพจากปากีสถานและบังกลาเทศที่มีอยู่ก่อนหน้า
ดังนั้น การมาของลูกหลานชาวญี่ปุ่นจากบราซิล จึงถูกมองว่าเป็น คำตอบที่สมบูรณ์แบบ นั่นคือแรงงานที่ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน อีกทั้งมีรูปลักษณ์เป็นคนญี่ปุ่น ทำให้ดูเหมือนคนท้องถิ่นและน่าจะปรับตัวเข้ากับสังคมได้ง่าย
แต่ในความเป็นจริง ยุค 90 (พ.ศ.2533-2542) และยุค 2000 (พ.ศ.2543-2552) ชาวญี่ปุ่น-บราซิลส่วนใหญ่นั้นมีรูปร่างหน้าตาเป็นคนญี่ปุ่นมากกว่าวิถีชีวิตแบบญี่ปุ่น
หมายความว่ายังไง? หมายความว่าหลายคนนั้นแม้จะมีรูปร่างหน้าตาเป็นคนญี่ปุ่น แต่ก็พูดภาษาญี่ปุ่นได้ไม่คล่อง และมีพฤติกรรมต่างจากชาวญี่ปุ่นในประเทศอย่างชัดเจน เช่น พูดคุยเสียงดัง ไม่เกรงใจผู้อื่น ฟังเพลงบนรถโดยสาร ไม่สนใจเลยว่าใครจะรำคาญหรือไม่ และก็แยกขยะไม่เป๊ะตามกฎระเบียบของญี่ปุ่น
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงถูกมองว่าเป็นพลเมืองชั้นสอง รัฐบาลญี่ปุ่นจึงเริ่มออกกฎระเบียบจำกัดการอพยพของชาวญี่ปุ่นเชื้อสายต่างชาติ
จนถึงปีค.ศ.2009 (พ.ศ.2552) ในช่วงที่ญี่ปุ่นเผชิญวิกฤตการส่งออกตกต่ำ รัฐบาลได้เสนอโครงการจ่ายเงินสดเพื่อให้ชาวบราซิลเชื้อสายญี่ปุ่นเดินทางกลับประเทศบราซิล พร้อมเงื่อนไขว่าห้ามกลับมาทำงานในญี่ปุ่นอีก
2
ผลที่ตามมาก็คือ จำนวนชาวบราซิลในญี่ปุ่นลดลง และในปัจจุบัน มีชาวบราซิลในญี่ปุ่นน้อยกว่าที่เคยมีเมื่อ 20 ปีก่อน
ทุกวันนี้ ชาวญี่ปุ่นในบราซิลมีชื่อเสียงและสถานะทางสังคมที่ดีมาก พวกเขาเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มั่งคั่งที่สุดและมีการศึกษาสูงสุด ในบราซิล
เช่นเดียวกับกลุ่มชาติพันธุ์ใหญ่และเก่าแก่ส่วนมาก ชาวญี่ปุ่น-บราซิลยังคงรักษาเอกลักษณ์ของตนเองอยู่ในบางมิติ แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นที่ยอมรับและภาคภูมิใจในสังคมบราซิลอย่างเต็มที่
วัฒนธรรมญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น ซูชิ อนิเมะ หรือศิลปะการต่อสู้ ได้กลายเป็นสิ่งทันสมัยและเป็นที่นิยมในบราซิลในยุคปัจจุบัน และเมื่อคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ไม่ได้พูดภาษาญี่ปุ่นคล่องอีกต่อไป จึงมีแนวโน้มสูงว่าชาวญี่ปุ่น-บราซิลจะยังคงใช้ชีวิตในบ้านใหม่แห่งนี้ต่อไปโดยไม่คิดจะละทิ้งบราซิลเพื่อกลับไปญี่ปุ่นอีกในอนาคตอันใกล้
References:
https://medium.com/@cailiansavage1/why-brazil-has-millions-of-japanese-d4e53122effc
https://timesofindia.indiatimes.com/etimes/trending/why-brazil-homes-millions-of-japanese-descendants/articleshow/120586246.cms#
https://www.connectbrazil.com/the-history-of-japanese-in-brazil/
ประวัติศาสตร์
ความรู้รอบตัว
11 บันทึก
29
13
11
29
13
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย