25 ก.ย. เวลา 11:29 • ประวัติศาสตร์

เยอรมนีช่วยให้จีนเอาชนะญี่ปุ่นในสงครามได้อย่างไร?

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (WWII) เยอรมนีและญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยทั้งสองประเทศมีความมุ่งมั่นที่จะขยายดินแดนให้ไพศาล
ดังนั้น เมื่อญี่ปุ่นโจมตี “เพิร์ลฮาร์เบอร์ (Pearl Harbor)” ในวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ.1941 (พ.ศ.2484) เยอรมนีจึงประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ.1941 (พ.ศ.2484) เพื่อแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับพันธมิตรในเอเชียตะวันออก
ในเวลาเดียวกัน ญี่ปุ่นกลับจมอยู่ในสงครามยืดเยื้อกับจีน โดยญี่ปุ่นนั้นรุกรานจีนมาตั้งแต่ปีค.ศ.1937 (พ.ศ.2480) โดยมีจุดประสงค์เพื่อแบ่งแยกประเทศและสร้างจักรวรรดิญี่ปุ่นใหม่บนแผ่นดินใหญ่
เพิร์ลฮาร์เบอร์ (Pearl Harbor)
แต่แม้จะมีอำนาจทางเศรษฐกิจและกำลังทหารเหนือกว่าศัตรู แต่ญี่ปุ่นก็ไม่สามารถทำลายล้างกองทัพจีนได้อย่างเด็ดขาดและปิดฉากสงคราม
ญี่ปุ่นเชื่อมั่นมาตลอดว่าตนจะชนะจีนอย่างแน่นอน แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น ภายในปีค.ศ.1945 (พ.ศ.2488) ญี่ปุ่นถูกปลดจากดินแดนทั้งหมดบนแผ่นดินใหญ่ รวมทั้งเกาหลี ไต้หวัน และเขตครอบครองในจีนและแมนจูเรีย
จีนได้พิสูจน์ให้เห็นว่าตนเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าที่ญี่ปุ่นคาดคิด ความมั่นใจของญี่ปุ่นส่วนหนึ่งก็มาจากความหยิ่งยโสและแนวคิดเหยียดเชื้อชาติของตน เพราะเชื่อว่าตนเหนือกว่าประเทศเพื่อนบ้านทุกแห่งในเอเชีย
ปัจจัยสำคัญที่ไม่ค่อยถูกพูดถึงเกี่ยวกับความล้มเหลวของญี่ปุ่นในจีน ก็คือการสนับสนุนของเยอรมนีต่อจีนตลอดช่วงค.ศ.1918-1938 (พ.ศ.2461-2481) เป็นเวลานานถึง 20 ปี
ก่อนที่จะมีการผลักดันให้สร้างพันธมิตรกับญี่ปุ่น จีนกับเยอรมนีนั้นมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมาก่อนแล้ว
เยอรมนีได้แลกเปลี่ยนเครื่องจักรอุตสาหกรรมหนัก ที่ปรึกษาทางทหาร และยุทโธปกรณ์กับวัตถุดิบจากจีน เช่น ทังสเตน อะลูมิเนียม และแอนติโมนี โดยจีนเป็นผู้ผลิตแอนติโมนีรายใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งใช้เป็นส่วนผสมโลหะและทำกระสุน
ข้อมูลเศรษฐกิจระบุว่า เยอรมนีคิดเป็น 17% ของคู่ค้าต่างชาติของจีน และจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของเยอรมนีในเอเชียช่วงต้นยุค 30 (พ.ศ.2473-2482)
จีนต้องการการลงทุน การปรับปรุงประเทศ และเทคโนโลยีทางทหาร ซึ่งทั้งหมดนั้น เยอรมนีพร้อมจัดหาให้
สินค้าโภคภัณฑ์จากจีนยังช่วยหนุนการเสริมกำลังของเยอรมนีตั้งแต่ปีค.ศ.1933 (พ.ศ.2476) โดยมีการส่งทหารฝ่ายเยอรมนีไปเป็นที่ปรึกษาและฝึกกองทัพจีน
มีทหารจีนราวสิบกองพลได้รับการฝึกอย่างเข้มข้นในแบบเยอรมัน ทั้งยุทธวิธี อาวุธ และการจัดการ โดยกองทัพเยอรมันในเวลานั้นเป็นที่ยอมรับว่าเก่งกาจที่สุดในโลก เงินทุน อาวุธ และข่าวกรองไหลเข้าจีนอย่างต่อเนื่อง ช่วยยกระดับกองทัพและเสริมความมั่นคง
นอกจากนั้น เยอรมนีและจีนก็ใกล้ชิดกันเพราะต่างถูกสังคมโลกกีดกัน เยอรมนีเสียเกียรติหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ส่วนจีนถูกชาติตะวันตกกดขี่มานาน ความโดดเดี่ยวนี้จึงเปิดโอกาสให้ทั้งสองร่วมมือกัน
ในเวลาต่อมา ในเยอรมนีได้มีการถกเถียงเรื่องนโยบายเกี่ยวกับเอเชีย โดยนักการทูตหัวเก่าเชื่อว่าจีนคือพันธมิตรที่ดีกว่า แต่กลุ่มอุดมการณ์ใหม่กลับผลักดันให้เยอรมนีใกล้ชิดกับญี่ปุ่น
ต่อมา เยอรมนีได้เสนอ “กติกาสัญญาต่อต้านโคมินเทิร์น (Anti-Comintern Pact)” โดยหวังให้เยอรมนี ญี่ปุ่น และจีนร่วมมือกัน จับมือกันเป็นกลุ่มชาติที่ยิ่งใหญ่ แต่จีนได้ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมเพราะญี่ปุ่นไม่ยอมถอนทัพออกจากจีน ทำให้เจ้าหน้าที่สายฮาร์ดคอร์ฝ่ายเยอรมนีได้ผลักดันให้เยอรมนีหันไปจับมือกับญี่ปุ่นเต็มตัว
ดังนั้น ในปีค.ศ.1938 (พ.ศ.2481) เยอรมนีจึงถอนที่ปรึกษาทางทหารและตัดความช่วยเหลือทางทหารต่อจีน แต่ยังคงความสัมพันธ์ทางการทูตจนถึงปีค.ศ.1941 (พ.ศ.2484)
แม้ญี่ปุ่นจะเริ่มทำสงครามเต็มรูปแบบกับจีนตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ.1937 (พ.ศ.2480) แต่ความช่วยเหลือจากเยอรมนีก็ยังคงไหลเข้าสู่จีนเป็นเวลาเกือบหนึ่งปี และความช่วยเหลือนี้ก็ถูกนำมาใช้ต่อต้านญี่ปุ่น แต่การช่วยเหลือนี้ก็ได้ยุติลงในเวลาต่อมาเมื่อญี่ปุ่นทำการกดดันเยอรมนีอย่างหนัก
เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความขัดแย้งในกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี นักการทูตต้องการรักษาความสัมพันธ์กับจีน ขณะที่ฝ่ายกองทัพต้องการอยู่กับญี่ปุ่น
ถึงแม้จีนจะไม่อาจรักษาเยอรมนีให้เป็นพันธมิตรยุโรปรายสำคัญในยามคับขัน แต่จีนก็ได้รับการฝึกทางทหาร ข่าวกรอง เทคโนโลยี และอาวุธจากเยอรมนีก่อนสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง ภาพถ่ายจากยุคนั้นยังเผยให้เห็นทหารจีนใช้อาวุธยุโรปและสวมหมวกเหล็กสไตล์เยอรมัน
นักประวัติศาสตร์ยังถกเถียงถึงขอบเขตอิทธิพลของเยอรมนี ซึ่งยากจะปฏิเสธว่าอุปกรณ์และการฝึกจากเยอรมนีช่วยให้จีนต่อสู้กับญี่ปุ่นได้ดีขึ้น โดยเยอรมนีลงทุนสร้างความแข็งแกร่งให้จีนมาหลายปี แต่กลับเปลี่ยนข้างไปสนับสนุนญี่ปุ่นบนเส้นแบ่งสงคราม ทำให้ญี่ปุ่นต้องเผชิญกับจีนที่แข็งแกร่งขึ้นเพราะตัวเยอรมนีเอง
ในเวลาต่อมา จีนหันไปพึ่งสหรัฐอเมริกาแทน แม้ภายหลังจะสูญเสียการสนับสนุนนั้นเมื่อคราวสงครามกลางเมืองในปีค.ศ.1949 (พ.ศ.2492) แต่ผู้คนจดจำการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกามากกว่า แต่กลับลืมไปว่าเยอรมนีคือประเทศยุโรปใหญ่ชาติแรกที่ช่วยฟื้นฟูจีนในยุค 20 (พ.ศ.2463-2472) และยุค 30 (พ.ศ.2473-2482)
อาจจะสรุปได้ว่า ญี่ปุ่นและเยอรมนีต่างก็พ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 และจีนก็รวมชาติได้สำเร็จในปีค.ศ.1949 (พ.ศ.2492) ซึ่งแม้ไม่อาจวัดผลได้แน่ชัดว่าที่ปรึกษาและการฝึกของเยอรมนีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรบของจีนมากเพียงใด แต่ก็ย่อมมีส่วนสำคัญอย่างแน่นอน
หากเยอรมนีและจีนยังเป็นมิตร และร่วมมือกันต่อต้านญี่ปุ่น บางที ประวัติศาสตร์อาจเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเลยก็เป็นได้
โฆษณา