26 ก.ย. เวลา 23:04 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

ห้องที่ไม่มีอากาศ

เทคโนโลยี AI นั้นกำลังสว่างไสวโชติช่วง ร้อนแรงดั่งพระอาทิตย์ยามเที่ยงกลางเดือนเมษา
สื่อต่างๆเสนอถึงประโยชน์มากมายจากเทคโนโลยีนี้
แต่เหรียญอีกด้านก็เสนอถึงภัยคุกคามจาก AI
โดยเฉพาะปัญหาการแย่งงานจากมนุษย์ และจะทำให้เกิดวิกฤตการตกงานไปทั่วโลก ทั้งวัยเพิ่งเรียนจบ และวัยมีประสบการณ์ที่อายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป
ทำให้เริ่มมีบางกลุ่มเกิดกระแสความกลัวและตื่นตระหนกจาก AI กันไปทั่ว
ทำให้ผมนึกถึงเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่อยู่ในความทรงจำนั่นคือเรื่อง "ห้องที่ไม่มีอากาศ"
ประมาณปี 2010 ผมได้รับทุนไปพัฒนาวิทยานิพนธ์เพื่อตีพิมพ์ในงานประชุมวิชาการ ที่มหาวิทยาลัยแทจอน ประเทศเกาหลีใต้
ปลายปีนั่น ใบไม้เริ่มร่วงโรยเพื่อต้อนรับการมาของฤดูหนาวและเป็นประสบการณ์หิมะครั้งแรกในชีวิตของผม
ในเวลานั่น ปัญญาของผมร่วงโรยยิ่งกว่าใบไม้ที่กองสุมทับกันหน้าหอพัก ความคิดของผมถูกแช่แข็งแน่นิ่งยิ่งกว่าหิมะในฤดูหนาว
ผมติดปัญหา และเขียนวิทยานิพนธ์ออกมาไม่ได้เลยอยู่หลายวัน ในขณะที่งานประชุมวิชาการก็ใกล้เข้ามาทุกที ผมจึงตัดสินใจไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อให้ท่านช่วยแนะนำ
อาจารย์ที่ปรึกษาของผมเป็นศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมประหยัดพลังงานของ ม.แทจอน ท่านรับฟังปัญหาของผมอยู่ครู่ใหญ่ แล้วก็นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ๆยิ่งกว่า บรรยากาศในห้องตอนนั้นราวกับทั้งห้องกลายเป็นห้องสูญญากาศ ทั้งอึดอัดและตึงเครียด
แล้วท่านก็พูดขึ้นมาว่า มิสเตอร์โจ ผมมีเรื่องนึงจะเล่าให้คุณฟังมันชื่อเรื่องว่า "ห้องที่ไม่มีอากาศ"
อาจารย์สบตาผมและเล่าต่อว่า สมัยตอนที่ท่านเรียนจบใหม่ๆและได้เริ่มอาชีพนักวิจัย สมัยนั่นมีเรื่องเล่าในหมู่นักวิจัยว่าหลายสิบปีก่อน มีเทคโนโลยีใหม่ที่ตื่นเต้นกันมากในหมู่วิศวกร และนักวิทยาศาสตร์
นั่นคือเทคโนโลยีการปรับอากาศ เราสามารถทำให้ห้องในเขตเมืองร้อน เย็นสบายขึ้นมาได้ และทำให้ห้องในเขตเมืองหนาว อบอุ่นขึ้นมาได้
ก็คงเป็นระบบฮีตเตอร์และ ระบบแอร์ ผมคิดในใจ อาจารย์ถามขึ้นมาว่า
"คุณคิดว่าปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของเทคโนโลยีนี้คืออะไร?"
ผมคิดอยู่ในใจแป๊บหนึ่ง แล้วตอบออกไปกึ่งมั่นใจว่า "คงเกี่ยวกับระบบวิศวกรรมเครื่องกลหรือไม่ก็อุปกรณ์ในการประดิษฐ์ครับ"
อาจารย์พยักหน้า อมยิ้มและตอบว่า "ผิดทั้งหมด !!!
มันไม่ได้เกี่ยวกับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ไม่ได้เกี่ยวกับทฤษฎีทางวิศวกรรม ไม่ได้เกี่ยวกับอุปกรณ์เทคนิคที่ซับซ้อนอะไรเลย" อาจารย์เล่าต่อ
 
ทั้งศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรที่เก่งกาจและนักวิจัยที่ชำนาญการ ถกเถียงปัญหากันอยู่เรื่องเดียวนั่นคือ
เทคโนโลยีนี้จะเป็นไปได้ ในห้องต้องปิดสนิทไม่ให้อากาศภายนอกเข้ามาได้ นั่นหมายความว่าสักพักอากาศในห้องจะหมดไป แล้วจะทำให้คนขาดอากาศหายใจถึงตายได้!!!
ผมอึ้งไปสักพักเมื่อได้ยินคำตอบ ในใจคิดว่าปัญหาแบบนี้ถ้าเป็นปัจจุบันที่เทคโนโลยีนี้ใช้กันทั่วโลกแล้ว เป็นเรื่องที่บ้าบองี่เง่าสิ้นดี
แต่พอผมลองย้อนนึกเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในยุคนั้น ยุคที่ระบบปรับอากาศยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ ไม่เคยมีมาก่อนในโลก ตรรกะที่ว่าอากาศในห้องจะหมดไปเมื่อคนเข้าไปอยู่ก็สมเหตุสมผลจริงๆ
เสียงอาจารย์ปลุกผมจากความอึ้งชั่วขณะ ท่านเล่าต่อว่า ปัญหาที่ดูบ้าบอแบบนี้กลับเป็นปัญหาสำคัญสำหรับหัวกะทิในสมัยนั้น แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่ที่สุดเพราะงานวิจัยสามารถรับรองได้ด้วยการทดลอง
สิ่งที่ยากยิ่งกว่านั้น คือเทคโนโลยีนี้จะทำให้คนธรรมดาๆทั่วไปยอมรับและรู้สึกได้ยังไงว่ามันปลอดภัยและกล้าจะใช้มันไปติดตั้งในห้อง ในบ้าน หรืออาคารของตัวเองจริงๆ
จนถึงทุกวันนี้เทคโนโลยีนั่นก็ได้พิสูจน์ตัวมันเองสำเร็จแล้ว
อาจารย์พูดทิ้งท้ายไว้ว่า ถ้าเรากลัวที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆและกลัวที่จะผิดพลาดจากเหตุผลต่างๆที่ดูจะสมเหตุสมผลตามความเชื่อเดิมๆ สิ่งใหม่ๆที่มีประโยชน์ก็จะไม่เกิดขึ้นในโลกนี้เลย คุณลองเอาไปคิดทบทวนดู
การเข้าพบที่ปรึกษาในครั้งนี้ ผมไม่ได้คำตอบอะไรเลยเกี่ยวกับบทความที่จะเข้าร่วมประชุมวิชาการ
แต่ผมได้สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่ากลับมา มันคือ mindset เกี่ยวกับความคิดที่จะผ่านพ้นปัญหาและต้องกล้าเผชิญกับความผิดพลาด และกล้าตั้งคำถามกับความรู้ความเชื่อเดิมๆให้ได้
เราทุกคนผิดพลาดได้ แต่อย่ากลัวมัน เราต้องกล้าทำในสิ่งที่อยากทำ เชื่อมั่นในสิ่งที่อยากเชื่อ ถ้าผิดพลาดก็แค่แก้ไขและทำซ้ำ เรียนรู้เพิ่มเติม เลวร้ายสุดก็แค่เปลี่ยนวิธีการ หรือหาหนทางใหม่ ในที่สุด เราก็จะผ่านพ้นมันไปได้
ทุกอย่างมักมีทางออกของมันเสมอ ตอนยุคเทคโนโลยีอินเตอร์เนตมาใหม่ๆ คนก็กลัวจะเกิดการตกงานไปทั่วโลก แต่ผ่านมาเกือบสามสิบปี ผลก็คือ เกิดอาชีพรูปแบบใหม่มากมาย ทั้งอินฟลูเอนเซอร์ ทั้งยูทูปเบอร์ ทั้งไลฟ์ขายของออนไลน์
ทำให้จีดีพีทั้งโลก เติบโตปีต่อปีมากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ และ AI ก็อาจเป็นแบบนั่นอีกครั้ง
สิ่งที่มนุษย์สามารถอยู่รอดมาได้ อาจไม่ใช่เพราะความฉลาด แต่มันคือสัญชาตญาน ในการปรับตัวและเรียนรู้เพื่อให้อยู่รอด
 
แต่การจะมองAI เป็นเหมือนเทคโนโลยีต่างๆที่ผ่านมาก็อาจจะดูไร้เดียงสาไปสักหน่อยเพราะ AI นั้นมีพลังมหาศาลมากมายเกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้อย่างน้อยการได้เรียนรู้มันไว้บ้างก็ถือเป็นเกราะป้องกันที่ดีกว่า
อย่างน้อยๆผมก็มั่นใจว่า ผมคงไม่ตายเพราะ AI เพราะขนาดผมอยู่ในห้องที่ไม่มีอากาศมาหลายสิบปีผมยังรอดชีวิตมาได้อย่างเข้มแข็ง เพื่อจะได้รอพบปะทักทายเทคโนโลยีใหม่ที่จะมาเปลี่ยนโลกใบนี้อีกสักครา แต่หน้าหนาวในครั้งนี้คงหนาวกว่าทุกๆครั้งแน่นอน/ JPW
.
ปล. ถึงจะไม่ติดพัดลมดูดอากาศ เราก็จะไม่ขาดอากาศตายในห้องแอร์ หน้าที่หลักจริงๆของมันคือสร้างความสบายใจมากกว่าผลทางเทคนิค🤭🤭
โฆษณา