29 ก.ย. เวลา 08:24 • ดนตรี เพลง

Death Grips | ที่มาของผู้สร้างเพลงสุดดิบ บีทระเบิดหู

เมื่อดนตรีแนว hip-hop ไม่ใช่แค่การแร็ปที่รวดเร็ว แต่ยังรวมไปถึงบีทและเสียงร้องที่รุนแรง จนสร้างความระทึกใจให้ผู้ฟัง กับบทเพลงที่ไม่ได้มีไว้เพื่อปลอบโยนแต่เพื่อโจมตีผู้ฟังด้วยเนื้อหาในเพลงสุดฉาวโฉ่
Death Grips เป็นวง Experimental hip-hop จากแคลิฟอร์เนีย ก่อตั้งปี 2010 ที่มีเอกลักษณ์ตรงการผสมดนตรี rap, punk, electronic, industrial, noise, และ glitch เข้าไว้ด้วยกัน จนกลายเป็นสไตล์ที่ทั้งดิบ รุนแรง และล้ำสมัยสุดขั้ว วงประกอบด้วย MC Ride (Stefan Burnett), Zach Hill มือกลองจากวง math rock Hella และ Andy Morin producer/engineer
แนวคิดการทำเพลงของ Death Grips เกิดจากความอยากที่จะทดลองโปรเจกต์ที่ไม่เข้ากรอบดนตรีแนว Hip-hop หรือ Rock แต่ยังคงเน้นความบ้าคลั่ง เพื่อสร้างแนวดนตรีใหม่
ในปี2011 พวกเขาได้ปล่อย Mixtape ที่มีเพลงสุดดิบอย่าง Guillotine เพลงที่มีกับท่อนติดหูจนแทบจะเหมือนโดนล้างสมอง อย่าง "It goes, It goes, It goes, It goes, It goes It goes, yuh"
ซึ่งก็มารพร้อมกับ music video ที่ประหลาดสุดๆ นั่นคือ MC Ride (Frontman วง) นั่งอยู่ในรถ ด้วยภาพที่แตกเป็น Glitch เหมือนเครื่องมี อิเล็กทรอนิกส์ที่ขัดข้อง กับการตัดต่อสลับไปมา
เนื้อหาของเพลง ว่าด้วยเรื่องของ การหวาดระแวง การถูกติดตาม และความรุนแรงอย่างบ้าคลั่ง ตามชื่อเพลง Guillotine ที่หมายถึง เครื่องประหาร เป็นการสื่อถึงความรุนแรง การจบชีวิต
ต่อมาพวกเขาได้ปล่อยอัลบั้มแรกจากสตูดิโอ ชื่อ The Money Store (2012)
อัลบั้มที่หน้าปกเป็นรูป ตัวการ์ตูนหญิง BDSM และตัวละครชายสวมหัวหมา แสดงถึง เซ็กส์,อำนาจ,ความรุนแรง ซึ่งสร้างภาพจำให้กับผู้ฟังมากๆ
ใช้คอนเซ็ปเดิม คือ ความบ้าคลั่ง ต่อต้านเพลง mainstream ทั่วไป แต่รอบนี้อัลบั้มของเขามีเนื้อหาที่ตรงไปตรงมาอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น โดยอัลบั้มนี้พูดถึง โลกบริโภคนิยม ที่แสวงหากำไรจากทุกอย่าง รวมไปถึง ความรุนแรง
โดยเพลงยังคงเป็นแนวเดิมของพวกเขา สไตล์เพลงเสียงดัง เน้นคำซ้ำๆ บีทแรงๆ เอฟเฟค Glitch ก็ยังอยู่ครบ
แทร็กแรก Get Got พูดถึงการถูกจับ หรือถูกจัดการ อาจสื่อว่ากำลังวิ่งหนีการตามล่า และตอนนี้ถูกจับได้แล้ว
แทร็กที่ 5 Hustle Bone ก็เป็นอีกหนึ่งเพลงดัง พูดถึงการเอาตัวรอดในเชิงร่างกาย ความรุนแรงในการมีเซ็กส์
อัลบั้มนี้มีเพลงที่เนื้อหาโด่งดังที่สุดของพวกเขาอย่างแทร็กที่ 6 I've seen footage เนื้อหาพูดถึงการเสพคลิปต่างๆ ทั้งสื่อลามก ระดับวิปริต คลิปความรุนแรงมากมายในโลกออนไลน์ แม้รู้ว่าจะอุบาทแค่ไหนแต่ก็จะดูให้ได้ เป็นเหมือนการเสพติด
แทร็กที่ 12 Bitch please มีเนื้อหาเกี่ยวกับ เซ็กส์ในรูปแบบของความรุนแรง
เพลงปิดอัลบั้มอย่าง Hacker ที่พูดถึง การเจาะระบบ การสร้างความวุ่นวาย ทำให้เกิดความไม่ปลอดภัย
ในปีเดียวกันพวกเขาได้ทำสิ่งที่ฮือฮามาก โดยการปล่อยอัลบั้ม No Love Deep Web ซึ้งสร้างความฮือฮายิ่งกว่าเดิมโดยที่หน้าปกอัลบั้มเป็นรูป อวัยวะเพศของ Zach Hill สมาชิกของวง พร้อมข้อความเขียนว่า No Love Deep Web
อัลบั้มนี้ถูกปล่อยฟรีบนอินเทอร์เน็ต โดยไม่บอกค่าย Epic Records ทำให้ค่ายโกรธมากจนตัดสัญญากับวง
สไตล์เพลงของอัลบั้มโหดดิบกว่าเดิมมาก บีทกดดัน เบส ต่ำ,หนัก,ดิบ เนื้อหาเพลงพูดถึงความรุนแรง ความว่างเปล่า การล่มสลายของความเป็นมนุษย์ มุ่งไปในแนวทางของ Nihilism
แทร็กที่ 3 No Love เพลงสุดหนัก พูดถึงโลกทุนนิยม ไม่มีความรัก ไม่มีความหมาย
หรือ แทร็กที่ 8 Hunger Games ที่เป็นการพาดพิง Hunger Games นิยายและหนังแนว Dystopia เนื้อหาเอาชีวิตรอดในโลกที่กดขี่
หลังจากนั้นพวกเขาปล่อยอัลบั้ม Government Plates (2013) ที่เน้นความเป็น Abstract มากกว่า Emotional, อัลบั้ม Niggas on the moon (2014) เป็นพาร์ทแรกของ โปรเจค The Powers That B , ตามมาด้วย Fashion Week (2015) อัลบั้ม Instrumental ล้วน ที่ทุกแทร็กรวมเป็นคำว่า JENNY DEATH WHEN (ชื่อพาร์ทสองของโปรเจค The Powers That B) เหมือนเป็นการทิ้งปริศนาไว้ให้แฟนเพลง
เมื่ออัลบั้ม Jenny Death ถูกปล่อยออกมา หลายคนมองว่านี่คือจุดพีคสุดของ Death Grips
มีทั้งเสียงที่หนัก ก้าวร้าว,บ้า,ดิบ,เถื่อน เสียงกีตาร์ รวม Rock เข้ากับ Punk
มีเพลงดังอย่าง I Break Mirrors With My Face in the United States, Inanimate Sensation, On GP
โปรเจก Powers That B จึงครบสมบูรณ์
ปี 2016 พวกเขาปล่อยอัลบั้ม Bottomless Pit ซึ่งเป็นอัลบั้มที่กลับมาฟังง่ายมากยิ่งขึ้นเหมือนงานเก่าๆ สไตล์ดิบๆช่วงแรกๆของพวกเขา
คอเซ็ปของอัลบั้มนี้พูดถึง การถูกมอมเมาด้วยสื่อ เหมือนการตกหลุมที่ไร้ก้น ตามชื่ออัลบั้ม
เพลงดังของอัลบั้มอย่าง Giving Bad People Good Ideas พูดถึง ความคิดสุดโต่งที่เหมือนจะดีแต่ชักจูงผู้คนไปสู่หายนะ
Year of the Snitch (2018) เป็นอัลบั้มที่ฟังยากที่สุดของวง คอนเซ็ปอัลบั้มพูดถึง โลกที่ไม่น่าไว้วางใจ มีแต่การหักหลัง
ซาวน์ของเพลงทำให้รู้สึกหวาดระแวง อึดอัดอย่างน่าประหลาดใจ ถึงขนาดที่Death Grips ดึง Andy Weitz คนทำ sound designer ที่เคยทำงานกับ David Lynch มาร่วมงานด้วย
อัลบั้มนี้จึงมีความแปลกแบบบิดเบี้ยว เหมือนกับงานของผู้กำกับหนัง David Lynch
อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มท้ายๆ หรืออาจจะสุดท้าย เพราะทางวงก็ไม่ได้มีการปล่อยผลงานอื่นออกมาอีก
โดยภาพรวมแล้ว Death Grips นั้นไม่ใช่วง Mainstream (ซึ่งพวกเขาเลือกจะเป็นแบบนั้น) แต่พวกเขาคือ นักทดลอง ที่ท้าทายกรอบของดนตรี ไม่ยึดติดกับ Rap หรือ Rock ขนบเดิมๆ พวกเขาต้องการสร้างผลงานที่มีเอกลักษณ์ความเป็นพวกเขา จึงเกิดเป็นแนวดนตรีใหม่ที่ผสมผสานความหลากหลาย ด้วยสไตล์ที่รุนแรงจนโดดเด่น เนื้อหาที่โหดดิบจนน่าอึดอัด
ถือเป็นผลงานศิลปะทางด้านดนตรี ที่เน้นอิสระของผู้สร้างผลงาน มากกว่าการเอาใจระบบความนิยมเชิงธุรกิจ ที่บีบอัดทำลายความเป็นศิลป์ ผ่านการตัดสินด้วยเงินตรา
-ณธาร สำเร็จ
โฆษณา