28 ก.ย. เวลา 17:31 • ปรัชญา

ทักษะที่ 20 : “ต่อให้เก่งแค่ไหน ก็ไม่ชนะเกมการเมืองในออฟฟิศ“

”ไม่ใช่แค่เป็นแมวเก่ง แต่ต้องเนียน”
เคยไหม? ทำงานเก่ง ผลงานปัง KPI พุ่งปรี๊ด แต่สุดท้ายกลับไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง ไม่ได้คำชม หรือแย่กว่านั้น… กลายเป็นตัวร้ายในสายตาเจ้านาย! 😱
ถ้าคุณเคยรู้สึกว่าเก่งอย่างเดียวไม่พอในออฟฟิศ บทความนี้จะพาคุณไปถอดรหัสว่า ทำไมการเมืองในที่ทำงานถึงโหดหินยิ่งกว่าสงครามเย็น และทำยังไงให้รอดจากเกมนี้แบบไม่เสียตัวตน! 🚀
❤️‍🔥ตัวอย่างที่เจ็บจี๊ด
• คุณอาจปิดโปรเจกต์สำเร็จ แต่ไม่เคย “ส่งยิ้ม” หรือ “แบ่งขนม” ให้เพื่อนร่วมทีม → คะแนนติดลบในสายตาคนอื่น
• คุณเป็นสายตรงไปตรงมา (พูดทุกอย่างให้จบๆ ไป) → กลายเป็น “แรง” ในสายตาคนชอบเลี่ยงความจริง
• คุณไม่เคยเข้าวงเมาท์หน้าลิฟต์ วงเหล้า หรือวงกาแฟ → เสียโอกาสรับข้อมูลวงในไปเต็มๆ
สรุปคือ “คุณเก่ง แต่คุณไม่เป็นแมวเหมียวเข้าสังคม” ก็เลยกลายเป็นหมาหัวเน่าในเกมนี้ง่ายๆ
😼 ทำไมเก่งจริงถึงแพ้?
ตามหลักจิตวิทยาองค์กร (Organizational Psychology) มีทฤษฎีหนึ่งที่เรียกว่า Social Capital หรือ “ทุนทางสังคม” หมายถึง เครือข่าย ความสัมพันธ์ และภาพลักษณ์
ที่คุณสร้างขึ้นมาในที่ทำงาน ซึ่งบอกเลยว่า มันสำคัญพอๆ (หรือมากกว่า) ความสามารถที่คุณมีจริงๆ
พูดง่ายๆ คือ…
• คนเก่ง = ได้คะแนนจาก “งาน”
• คนเล่นการเมืองเก่ง = ได้คะแนนจาก “งาน + คน”
และในออฟฟิศ คะแนนจาก “คน” มักชี้ชะตามากกว่าคะแนนจาก “งาน” เสียอีก
🎭 รู้ทันเกมออฟฟิศ
1. เพราะมนุษย์ไม่ได้ตัดสินจากผลงานอย่างเดียว (เสียใจด้วย!) 😅
ตามหลักจิตวิทยา “Halo Effect” หรืออคติที่ทำให้คนเราตัดสินผู้อื่นจากภาพลักษณ์แรกพบ คนที่ยิ้มเก่ง เข้าสังคมดี หรือรู้จักประจบเจ้านายสักหน่อย มักถูกมองว่า “ดี” กว่า แม้ว่าผลงานจะด้อยกว่าคุณ! 🥸 การศึกษาโดย Daniel Kahneman นักจิตวิทยารางวัลโนเบล ชี้ว่า มนุษย์มักให้ความสำคัญกับ “ความรู้สึก” มากกว่า “ข้อเท็จจริง” ดังนั้น ต่อให้คุณเก่งแค่ไหน ถ้าเจ้านายไม่ “รู้สึกดี” กับคุณ โอกาสชนะในเกมนี้ก็ยากแล้วล่ะ
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม! การตัดสินใจในที่ทำงานไม่ได้ขึ้นอยู่กับ Logic (ตรรกะ) ล้วน ๆ แต่ขึ้นอยู่กับ Emotional Intelligence (EQ) และเครือข่ายความสัมพันธ์ (Alliances) มากกว่า!
ตัวอย่าง: โปรเจกต์ที่ทำได้ 8/10 แต่อยู่ในมือของ "ลูกรัก" หรือ "พวกพ้อง" ย่อมถูกผลักดันได้ง่ายกว่าโปรเจกต์ 10/10 ที่มาจากคนทำงานคนเดียวที่ไม่มีใครรู้จักมักจี่ เพราะอะไร? เพราะคนที่มี Referent Power (พลังแห่งความถูกใจ) นั้น "คุยง่าย" "ไว้ใจได้" และ "กล้าฝากอนาคตด้วย" แม้ว่าทักษะจะด้อยกว่าก็ตาม! 🤝
2. The Competence Trap: กับดักของคนทำงานหนักเกินไป 🚧
คนเก่งมักตกอยู่ในกับดักที่เรียกว่า "The Competence Trap" คือเชื่อว่าการเป็น Expert Power (อำนาจที่มาจากความรู้/ทักษะ) คือที่สุด แต่ในทางจิตวิทยาองค์กร Expert Power เป็นเพียงแหล่งพลังงานหนึ่งเท่านั้น!
ข้อคิดแบบคัน ๆ: คุณน่ะเก่งจริง! แต่คุณก็มัวแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานจนลืมแหงนหน้ามองฟ้าว่าใครกำลัง "ขายเก่ง" ตัวเองอยู่บนเวที! พวกเขากำลังใช้ Referent Power (อำนาจจากการถูกชื่นชอบ/ความสัมพันธ์) หรือ Informational Power (อำนาจจากการถือข้อมูลสำคัญ) ซึ่งพวกนี้แหละ... ทรงพลังกว่างานที่คุณทำเสร็จเมื่อคืน 3 ชั่วโมง
3. Dark Triad: เหล่าตัวร้ายที่(ไม่)น่ารัก 😈
อย่าโลกสวย งานวิจัยทางจิตวิทยาบุคลิกภาพระบุว่า ในระดับผู้บริหารหรือตำแหน่งที่มีอำนาจ
จะมีสัดส่วนของกลุ่มบุคลิกภาพที่เรียกว่า "Dark Triad" สูงกว่าประชากรทั่วไป ซึ่งประกอบด้วย:
• Machiavellianism (เจ้าเล่ห์/มุ่งเป้า): เน้นผลลัพธ์ นำมาซึ่งการใช้เล่ห์กลและการควบคุมคนอื่น
• Narcissism (หลงตัวเอง): ชอบความสนใจ ความชื่นชม และต้องการอำนาจเพื่อเสริมอีโก้
• Psychopathy (ไร้ความเห็นใจ): ขาดความรู้สึกผิด สามารถใช้คนอื่นเป็นบันไดโดยไม่แคร์
บุคคลเหล่านี้มักเก่งในการ Impression Management (การจัดการความประทับใจ) พวกเขาไม่ได้ทำงานเก่งที่สุด แต่เก่งที่สุดในการ ทำให้คนสำคัญเชื่อว่าพวกเขาเก่งที่สุด! 🎭 คนที่มุ่งแต่ผลงานมักจะมองข้ามการสร้างภาพลักษณ์นี้ไป... ก็เลยตกเป็นเหยื่อให้คนพวกนี้ปาดหน้าไปอย่างง่ายดาย!
🐈 5 วิธีแมวออฟฟิศ เอาตัวรอดแบบไม่เลอะเทอะ
1. เล่นเกม โดยไม่เสียตัวตน: คิดซะว่าเราเป็น "ผู้สังเกตการณ์" ที่ดี ฝึกฟัง และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของคนในออฟฟิศให้ออก รู้ว่าใครคบกับใคร ใครมีอำนาจจริง ไม่ต้องไปสอยใคร แค่รู้เท่าทันก็พอแล้ว 👀
2. สร้าง “ภาพจำ” ที่แข็งแรง ✨
ไม่ต้องไปตามง้อหรือเข้าวงเมาท์ แต่คุณต้องสร้าง แบรนด์ส่วนตัว ให้ชัดว่า “เก่ง + น่าเชื่อถือ” คนในออฟฟิศเวลาเจอชื่อต้องนึกว่า: “อ๋อ งานนี้ไว้ใจได้”
จิตวิทยาเรียกว่า Reputation Capital — ทุนทางชื่อเสียงที่ช่วยกันดราม่าให้คุณ
3. ใช้ “การเมืองเชิงบวก” 🐱🤝
การเมืองไม่ได้แปลว่าต้องแทงข้างหลังเสมอ มันมีแบบ Positive Politics เช่น
• รู้จักให้เครดิตเพื่อนร่วมงาน
• สร้างเครือข่ายด้วยการช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ
• สื่อสารอย่างโปร่งใสแต่ฉลาด
สร้างพันธมิตร มากกว่าศัตรู: ลองชวนเพื่อนร่วมงานไปดื่มชา กาแฟบ้าง มิตรภาพเล็กๆ น้อยๆ สามารถเปลี่ยนเกมการเมืองครั้งใหญ่ได้
คุณไม่ได้ก้มหัว แต่คุณ “วางตัว”
4. พัฒนาทักษะ EQ & AQ 🧘
เกมออฟฟิศไม่ใช่แค่ “งาน” แต่เป็นสนามอารมณ์และความอดทน
• EQ (Emotional Intelligence) → อ่านห้องให้ออก รู้ว่าเมื่อไหร่ควรพูด เมื่อไหร่ควรเงียบ
• AQ (Adversity Quotient) → ยืดหยุ่นต่อแรงกดดัน ไม่พังง่ายเวลาเจอดราม่า
5. เลือกสนามให้ถูก 🏞️
ไม่ใช่ทุกสงครามที่เราต้องลงไปรบ บางเรื่องปล่อยมันไป
เพราะพลังงานของคุณมีค่า ไว้สู้ในเรื่องที่สำคัญจริงๆ ดีกว่า 💪
บางที่การเมืองหนาแน่นเกินไป ต่อให้เก่ง + EQ สูง ก็เหนื่อยจนขนแมวร่วงทั้งตัว 😂
ถ้าเจอองค์กรที่เล่นแต่ “เกมสกปรก” และไม่ให้ค่าความสามารถจริงๆ…
บางที “การย้ายสนาม” ก็คือกลยุทธ์เอาตัวรอดที่ฉลาดที่สุด
ไม่ใช่ทุกสงครามที่เราต้องลงไปรบ บางเรื่องปล่อยมันไป
🐾 คำข่วนแบบข่วนเป็น
“อยู่ให้เป็น โดยไม่ต้องก้มต่ำ”
”เก่งอย่างเดียวไม่รอด ต้องรู้เกม รู้คน รู้ใจ... รู้ว่าเมื่อไหร่ควรอู้"
“ในออฟฟิศ ไม่มีสปอตไลต์ให้คนเงียบ!”
“ในออฟฟิศ เก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องรอบรู้และรอบคอบ!”
🐈‍⬛ สรุปแบบทักษะแบบแมวๆ
เพราะเกมออฟฟิศมันไม่ใช่เกมหมากรุกที่เก่งแล้วชนะ แต่เป็นเกมแมวเหมียว
ที่บางที “ใครนอนบนโต๊ะได้ก่อน คนนั้นชนะ” 💤
ดังนั้นถ้าอยากรอด ไม่ต้องเลิกเก่ง แต่ต้องเรียนรู้จะเก่งแบบมี Social Skill เสริมด้วย
ชีวิตในออฟฟิศมันก็เหมือนเกมหนึ่งเลย...
บางด่านคุณต้องใช้สกิล "การงาน"
บางด่านต้องใช้สกิล "มนุษย์สัมพันธ์"
และบางด่าน... ก็ต้องกดปุ่ม "พักเกมชั่วคราว" แล้วไปนอนพักผ่อนซะ
คุณไม่ต้องเล่นเกมสกปรกเพื่อรอด แต่ต้องเล่นเกม “ฉลาด + ใสสะอาด”
และสร้างเครือข่ายที่ไว้ใจได้ แบบนี้ถึงจะอยู่ยาวในออฟฟิศได้โดยไม่เสียตัวตน 😼
โฆษณา