Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Vate's Pharma Scope
•
ติดตาม
9 ชั่วโมงที่แล้ว • สุขภาพ
เมื่อความจริงถูกปิดปาก ทำไมนักวิทยาศาสตร์ถึงกลัวที่จะโต้แย้งข้อมูลลวงโลกเรื่องยาพารากับออทิสซึม
สงครามระหว่างความจริงกับข้อมูลลวงโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและยา ซึ่งเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของเราทุกคน
ล่าสุดได้เกิดเหตุการณ์ที่น่าตระหนกขึ้นในสหรัฐอเมริกา เมื่อบุคคลสาธารณะระดับผู้นำทางการเมืองได้ออกมาป่าวประกาศถึงความเชื่อมโยงที่น่าหวาดกลัวระหว่างยาแก้ปวดลดไข้สามัญที่เราทุกคนรู้จักกันดีอย่าง "อะเซตามิโนเฟน" (Acetaminophen) หรือที่คุ้นเคยกันในชื่อการค้า "ไทลินอล" (Tylenol) กับ "ภาวะออทิสซึม" ในเด็ก
การกล่าวอ้างนี้ได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วในโลกโซเชียลมีเดีย จุดประกายให้เกิดการถกเถียงและความหวาดกลัวในหมู่ผู้คนจำนวนมาก
ผมขอยืนยันด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่หนักแน่นและผ่านการทบทวนอย่างถี่ถ้วนแล้วว่า ความเชื่อมโยงดังกล่าวนั้นเป็นเท็จ มันคือหนึ่งในข้อมูลบิดเบือนอีกมากมายที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยปราศจากรากฐานทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ
1
แต่สิ่งที่น่ากังวลใจยิ่งกว่าตัวข้อมูลลวงโลกเอง ก็คือบรรยากาศแห่งความเงียบ ที่เริ่มเข้าปกคลุมชุมชนวิทยาศาสตร์ คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นคือ ทำไมในยุคที่ข้อมูลเท็จกำลังอาละวาดอย่างหนักหน่วง เสียงของนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญตัวจริงกลับดูเหมือนจะแผ่วเบาและลังเลที่จะออกมาปะทะโดยตรง?
วันนี้ผมอยากจะพาทุกท่านไปสำรวจเบื้องหลังของความเงียบงันนี้ ซึ่งมันสะท้อนให้เห็นถึงสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษและความท้าทายครั้งใหญ่ที่โลกของวิทยาศาสตร์กำลังเผชิญอยู่
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่วิทยาศาสตร์ถูกลากเข้าไปเป็นเครื่องมือในสนามการเมือง เราเคยเห็นการบิดเบือนข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีน ภาวะโลกร้อน และประเด็นทางวิทยาศาสตร์อื่นๆ มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
แต่เมื่อการเมืองเข้ามาผสมโรงกับความเกลียดชังและการโจมตีส่วนบุคคลในโลกออนไลน์ มันก็ได้สร้างผลกระทบที่เยือกเย็น ที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากต้องหวาดกลัวที่จะแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา
1
ลองนึกภาพนักวิจัยที่อุทิศทั้งชีวิตเพื่อค้นคว้าหาความจริงอย่างยากลำบาก แต่เมื่อเขาออกมานำเสนอข้อเท็จจริงที่ขัดแย้งกับวาทกรรมของผู้มีอำนาจ สิ่งที่เขาต้องเผชิญกลับไม่ใช่การถกเถียงด้วยเหตุผล แต่เป็นการถูก "ทัวร์ลง" ด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย การข่มขู่คุกคามที่ลุกลามไปถึงครอบครัว และการถูกกล่าวหาว่าเป็นเครื่องมือของฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง บรรยากาศเช่นนี้ได้สร้างบาดแผลลึกและความหวาดกลัวให้กับผู้ที่ทำงานอยู่บนพื้นฐานของความจริง
1
ยิ่งไปกว่านั้น ภัยคุกคามไม่ได้หยุดอยู่แค่ในโลกออนไลน์ ในสหรัฐอเมริกา เราได้เห็นตัวอย่างที่น่าเศร้าของการที่รัฐบาลเข้ามาแทรกแซงและลงโทษนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของตน มีการตัดงบประมาณการวิจัยในสาขาที่ถูกมองว่าเป็นปฏิปักษ์ทางการเมือง เช่น วิทยาศาสตร์ภูมิอากาศ มีการปลดคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญที่ให้คำแนะนำด้านวัคซีนออกยกชุด
1
และแม้กระทั่งการไล่ผู้อำนวยการของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ออกจากตำแหน่ง การกระทำเหล่านี้คือการส่งสารที่ชัดเจนว่า หากคุณต้องการทำงานวิจัยต่อไป คุณก็อาจจะต้องเลือกที่จะเซ็นเซอร์ตัวเองและเงียบเสียงลงในประเด็นที่อ่อนไหว
1
นอกเหนือจากแรงกดดันทางการเมืองแล้ว การต่อสู้กับข้อมูลเท็จในยุคดิจิทัลยังมีความท้าทายในตัวเองอีกด้วย วงจรข่าวในปัจจุบันนั้นเร็วเหมือนพายุ ข้อมูลลวงโลกที่สั้น กระชับ และเร้าอารมณ์สามารถแพร่กระจายไปได้ในชั่วข้ามคืน
แต่การตรวจสอบและนำเสนอข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์นั้นต้องใช้เวลา ความรอบคอบ และการอ้างอิงที่ซับซ้อน กว่าที่นักวิทยาศาสตร์จะรวบรวมข้อมูลและพร้อมที่จะออกมาให้ความเห็นอย่างเป็นทางการ กระแสสังคมก็อาจจะเคลื่อนผ่านเรื่องนั้นไปแล้ว และเสียงของพวกเขาก็มักจะถูกกลบด้วยพาดหัวข่าวที่เน้นความขัดแย้งมากกว่าเนื้อหาสาระทางวิทยาศาสตร์
ท่ามกลางสมรภูมิที่ดูเหมือนจะเสียเปรียบนี้ ชุมชนวิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้นิ่งดูดายครับ พวกเขากำลังพยายามพัฒนาเครื่องมือและกลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อต่อสู้กับคลื่นข้อมูลเท็จเหล่านี้ มีความพยายามในการสร้างพื้นที่ออนไลน์ที่ปลอดภัยสำหรับการถกเถียงเชิงเหตุผล มีการนำกลยุทธ์ "Prebunking" หรือการสร้างภูมิคุ้มกันล่วงหน้ามาใช้
โดยการให้ความรู้แก่สาธารณชนเกี่ยวกับตรรกะวิบัติและกลวิธีของทฤษฎีสมคบคิดต่างๆ ก่อนที่พวกเขาจะตกเป็นเหยื่อของมัน และยังมีการใช้เทคนิค "Subvertising" หรือการล้อเลียนเสียดสีเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง
เรื่องราวของ ยาพารากับออทิสซึม คือสัญญาณเตือนภัยครั้งล่าสุดที่บอกเราว่า สงครามข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพนี้เป็นเรื่องใกล้ตัวและส่งผลกระทบต่อเราทุกคน
มันไม่ใช่แค่หน้าที่ของนักวิทยาศาสตร์ที่จะต้องออกมาปกป้องความจริง แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของพวกเราทุกคนในสังคมที่จะต้องสร้างวัฒนธรรมของการตรวจสอบข้อมูล การเคารพในความเชี่ยวชาญ และการไม่ยอมให้ความเชื่อทางการเมืองหรืออารมณ์มาอยู่เหนือข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ผลลัพธ์ของการตัดสินใจด้านสุขภาพที่อยู่บนพื้นฐานของข้อมูลลวงโลกนั้น มันอาจจะร้ายแรงกว่าที่เราคาดคิดไว้มากครับ
แหล่งอ้างอิง:
Murphy, P. (2025, September 29). Why scientists may be fearful of speaking out about Trump's autism claims. Medical Xpress. Retrieved from
https://medicalxpress.com/news/2025-09-scientists-trump-autism.html
(Published via The Conversation).
เภสัชกรรม
ข่าวรอบโลก
สุขภาพ
บันทึก
5
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย