Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Histoly - ประวัติศาสตร์แบบเบา ๆ
•
ติดตาม
30 ก.ย. เวลา 00:12 • ประวัติศาสตร์
🔫 กระสุนนัดเดียวที่เปลี่ยนซามูไรไปตลอดกาล เรื่องจริงของ 'ปืนไฟ' ที่พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
คุณเคยสงสัยไหมครับ ว่าอะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้อารยธรรมหนึ่งต้องพลิกโฉมไปอย่างสิ้นเชิง? สำหรับญี่ปุ่นในยุคซามูไร คำตอบอาจไม่ใช่ดาบคาตานะคมกริบ แต่คือเสียงปืนนัดแรกที่ดังขึ้นจากเรืออับปางลำหนึ่ง
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1543 เมื่อพายุไต้ฝุ่นลูกมหึมาหอบเอาจเรือสำเภาจีนลำหนึ่งไปเกยตื้นที่เกาะทะเนะงะชิมะ (Tanegashima) ชายขอบทางใต้สุดของญี่ปุ่น พ่อค้าชาวโปรตุเกส 3 คนที่อยู่บนเรือ ก้าวเท้าลงบนแผ่นดินที่กำลังลุกเป็นไฟ
ญี่ปุ่นในตอนนั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ รัฐบาลโชกุนอะชิคะงะ (Ashikaga shogunate) ที่เคยเป็นศูนย์กลางอำนาจได้ล่มสลายลง เหลือเพียงสัญลักษณ์ในเมืองหลวงเกียวโต อำนาจที่แท้จริงกระจายอยู่ในมือของเหล่าขุนศึก (ไดเมียว) ที่ต่างตั้งตนเป็นใหญ่และทำสงครามขยายอิทธิพลกันไม่หยุดหย่อน... ญี่ปุ่นกำลังรอใครสักคนที่จะขึ้นมารวมแผ่นดิน
🎯 แสวงหาความได้เปรียบ
Shimazu clan
แม้จะอยู่สุดขอบประเทศ แต่ตระกูลชิมะซุ (Shimazu clan) ผู้ปกครองเกาะ ก็ไม่อาจนิ่งนอนใจได้ พวกเขากำลังต่อสู้อย่างดุเดือดเพื่อควบคุมเกาะคิวชูทางตอนใต้ ชิมะซุ ทะกะฮิซะ (Shimazu Takahisa) ผู้นำตระกูลในขณะนั้น รู้สึกทึ่งกับพ่อค้าชาวโปรตุเกสและสินค้าแปลกตาของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ปืนคาบศิลา" (Arquebus) ที่ชาวต่างชาตินำมาสาธิตให้ดู
มันคืออาวุธที่เปลี่ยนโฉมหน้าสงครามในยุโรปมาแล้วในยุทธการที่เชรินโญลา (Battle of Cerignola) ปี 1503 พ่อค้าบรรจุกระสุนและดินปืนอย่างใจเย็น จุดชนวนไฟบนคันนกสับ ก่อนจะเหนี่ยวไกส่งเสียงกึกก้อง... กระสุนพุ่งทะยานออกไปอย่างทรงพลัง ทะกะฮิซะมองเห็นอนาคตทันที เขาจึงทุ่มเงินซื้อปืนทุกกระบอกที่ซื้อได้
โชคดีที่ช่างตีดาบชั้นครูของเขาสามารถถอดแบบอาวุธง่ายๆ นี้ได้ในเวลาไม่นาน แถมยังปรับปรุงให้ดีขึ้นด้วยการกำหนดขนาดลำกล้องให้เป็นมาตรฐานเพื่อผลิตกระสุนได้ทีละมากๆ ในปี 1549 ปืนไฟถูกนำไปใช้ในสนามรบครั้งแรก และมันก็ไม่ทำให้ผิดหวัง พร้อมๆ กับการมาถึงของมิชชันนารีเยซูอิต ความรู้เรื่องอาวุธลึกลับที่เรียกว่า "เท็ปโป" (Teppo) ก็แพร่กระจายไปทั่วญี่ปุ่นราวกับไฟลามทุ่ง
🏭 เมื่อช่างตีดาบ กลายเป็นช่างทำปืน
The Battle of Azukizaka
หมู่บ้านห่างไกลอย่างซะกาอิ (Sakai) และคุนิโตะโมะ (Kunitomo) กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตอาวุธที่มีชื่อเสียง คำสั่งซื้อปืนที่ได้ชื่อเล่นว่า "ทะเนะงะชิมะ" หลั่งไหลมาจากขุนศึกทั่วประเทศ หนึ่งในนั้นคือคำสั่งซื้อล็อตใหญ่มหาศาลจำนวน 500 กระบอกจาก โอะดะ โนะบุนะงะ (Oda Nobunaga) บุตรชายหนุ่มของขุนศึกเล็กๆ คนหนึ่งที่กำลังจะสร้างความสั่นสะเทือนไปทั้งแผ่นดิน
ในขณะเดียวกัน ทะเกะดะ ชินเง็น (Takeda Shingen) ผู้นำตระกูลทะเกะดะที่ขึ้นชื่อเรื่องกองทัพม้าที่น่าเกรงขามที่สุด ก็เริ่มตระหนักถึงพลังของเทคโนโลยีใหม่นี้ หลังจากเคยลิ้มรสความร้ายกาจของปืนไฟแบบจีนมาแล้วในสนามรบ สงครามซามูไรที่เคยเน้นการดวลตัวต่อตัวด้วยธนูและดาบกำลังเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ไม่ได้มาจากแค่เทคโนโลยี แต่มาจากชนชั้นที่ต่ำที่สุดในสนามรบด้วย ซามูไรมีจำนวนจำกัดและยึดติดกับเกียรติยศ แต่สงครามที่โหดเหี้ยมต้องการกำลังพลจำนวนมาก ขุนศึกจึงต้องเกณฑ์ทหารจากชาวนาและไพร่ที่ถูกเรียกว่า "อะชิงะรุ" (Ashigaru) หรือพวก "เท้าเบา"
โนะบุนะงะ ซึ่งมีซามูไรชั้นสูงในสังกัดไม่มากนัก มองเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองข้าม เขารู้ว่า "แค่มีปืนอยู่ในมือ ชาวนาที่ต่ำต้อยที่สุดก็สามารถสังหารซามูไรที่เก่งกาจที่สุดได้" ในปี 1554 เขานำทหารอะชิงะรุติดอาวุธปืนมาทดลองยิงประสานเสียงข้ามคูน้ำ นี่คือจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติที่แท้จริง
⚔️ ยุทธการที่เปลี่ยนทุกสิ่ง: นะงะชิโนะ 1575
Nagashino Teppo-Ashigaru
หลังจากสร้างอำนาจและพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง โนะบุนะงะต้องเผชิญหน้ากับศึกที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต เมื่อทะเกะดะ คะสึโยะริ (Takeda Katsuyori) ลูกชายของชินเง็น นำกองทัพม้าที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในญี่ปุ่นบุกโจมตีปราสาทนะงะชิโนะ (Nagashino)
โนะบุนะงะและพันธมิตรอย่าง โทะกุงะวะ อิเอะยะซุ (Tokugawa Ieyasu) รู้ดีว่าการปะทะซึ่งๆ หน้ากับทัพม้าทะเกะดะคือการฆ่าตัวตาย เขาจึงเลือกสมรภูมิที่เป็นใจ... ที่ราบไม่เรียบ มีแม่น้ำและตลิ่งสูงชันขวางอยู่ และที่สำคัญที่สุด เขาสั่งให้ทหารสร้าง รั้วไม้สามชั้น ซึ่งม้าไม่สามารถกระโดดข้ามได้ ป้องกันแนวตั้งรับของเขา
คืนก่อนการรบมีฝนตกหนัก คะสึโยะริเชื่อว่าฝนจะทำให้ปืนไฟของโนะบุนะงะด้อยประสิทธิภาพลง และทัพม้าของเขาจะทะลวงแนวป้องกันเข้าไปได้เหมือนที่เคยทำสำเร็จมาแล้ว แต่ครั้งนี้โนะบุนะงะเตรียมตัวมาดี เขาจัดการให้ดินปืนและปืนทุกกระบอกแห้งสนิท
เมื่อทัพม้าทะเกะดะบุกเข้ามา เสียงกลองศึกดังกระหึ่ม แต่ทหารของโนะบุนะงะยังคงนิ่งเฉยตามคำสั่ง... จนกระทั่งทัพม้าข้ามลำธารมาและสูญเสียความเร็วไปนั่นแหละ โนะบุนะงะก็สั่งยิง!
●
แถวที่หนึ่ง ลั่นไกพร้อมกัน กระสุนนัดแล้วนัดเล่าเจาะทะลวงเกราะ สังหารทั้งคนทั้งม้า
●
เมื่อแถวที่หนึ่งถอยไปบรรจุกระสุน แถวที่สอง ก็ก้าวขึ้นมายิงต่อทันที
●
ตามมาด้วย แถวที่สาม ที่สาดกระสุนเข้าไปอีกระลอก
คลื่นมนุษย์และม้าของทะเกะดะถูกทำลายล้างครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหวราวกับสวรรค์ถล่ม กองทัพม้าที่เคยเป็นตำนาน บัดนี้กลายเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณที่กองทับถมกันอยู่หน้ารั้วไม้ ชัยชนะในครั้งนี้ไม่ใช่แค่ชัยชนะในสนามรบ แต่มันคือการประกาศว่ายุคสมัยของซามูไรแบบเก่าได้จบสิ้นลงแล้ว เทคโนโลยีและยุทธวิธีได้ก้าวขึ้นมาอยู่เหนือเกียรติยศและประเพณี
🔗 มรดกของปืนไฟ: รวมชาติสู่การปิดประเทศ
Tokugawa Ieyasu
หลังชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์ โนะบุนะงะได้สร้างปราสาทอะซุชิ (Azuchi Castle) ที่มีกำแพงหินสูงตระหง่าน ออกแบบมาเพื่อการป้องกันด้วยปืนไฟโดยเฉพาะ เขากลายเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดและใกล้จะรวมชาติญี่ปุ่นได้สำเร็จ แต่แล้วในปี 1582 เขากลับถูกนายพลของตัวเองทรยศและบังคับให้ทำ เซ็ปปุกุ (seppuku)
ภารกิจรวมชาติถูกสานต่อโดย โทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิ (Toyotomi Hideyoshi) และปิดท้ายโดย โทะกุงะวะ อิเอะยะซุ ผู้ก่อตั้งรัฐบาลโชกุนโทะกุงะวะที่ปกครองญี่ปุ่นอย่างสันติสุขยาวนานกว่า 250 ปี แต่สันติภาพนี้ก็ต้องแลกมาด้วยบางสิ่ง...
ฮิเดะโยะชิ ผู้ตระหนักถึงอันตรายของปืนในมือชาวนา ได้ออกนโยบาย "ล่าดาบ" ในปี 1588 เพื่อริบอาวุธทั้งหมดจากผู้ที่ไม่ใช่ซามูไร ต่อมาในยุคโทะกุงะวะ การผลิตปืนและดินปืนถูกควบคุมอย่างเข้มงวด และที่สำคัญที่สุด ญี่ปุ่นได้ดำเนิน นโยบายปิดประเทศ (Isolationism) ทำให้ไม่สามารถซื้ออาวุธหรือรับเทคโนโลยีจากต่างชาติได้อีก
ironic ไหมครับ? อาวุธที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของความก้าวหน้าและการเปิดโลก กลับกลายเป็นเหตุผลที่ทำให้ญี่ปุ่นต้องปิดประตูใส่โลกภายนอก และกลายเป็นสิ่ง "เกินความจำเป็น" ในยุคแห่งสันติภาพที่มันสร้างขึ้นมา
🏡 บทเรียนจากอดีต สู่ปัจจุบันของไทย
เรื่องราวนี้สะท้อนอะไรให้ประเทศไทยได้บ้างครับ? เราอาจเห็นภาพซ้อนของการเข้ามาของเทคโนโลยีที่พลิกโฉมสังคม (Disruptive Technology) จากปืนไฟในยุคซามูไร สู่ AI และ Digital Transformation ในยุคของเรา การปรับตัวของผู้ที่กุมอำนาจเดิม การเกิดขึ้นของกลุ่มคนใหม่ๆ ที่มีพลังจากเทคโนโลยี และความท้าทายในการควบคุมเทคโนโลยีไม่ให้ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง
ญี่ปุ่นเลือกที่จะ 'ปิดประเทศ' เพื่อรักษาสมดุล แต่สุดท้ายก็ถูก พลเรือจัตวาเพร์รี (Commodore Perry) จากสหรัฐอเมริกา นำเรือรบไอน้ำติดปืนใหญ่มาบังคับให้เปิดประเทศในปี 1853 นี่คือบทเรียนราคาแพงที่บอกเราว่า การปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงอาจไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดในระยะยาว
🎯 สรุปประเด็นสำคัญ
✅ จุดเริ่มต้นการปฏิวัติ: ปืนคาบศิลาที่มากับเรือโปรตุเกสอับปางในปี 1543 ได้จุดประกายการเปลี่ยนแปลงทางการทหารและสังคมในญี่ปุ่นไปตลอดกาล
✅ วิสัยทัศน์ของโนะบุนะงะ: โอะดะ โนะบุนะงะ คือขุนศึกคนสำคัญที่มองเห็นศักยภาพของปืนไฟ เขานำทหารชาวนา (อะชิงะรุ) มาฝึกใช้ปืน สร้างกองทัพที่แข็งแกร่งโดยไม่ต้องพึ่งพาซามูไรชั้นสูง
✅ ยุทธการนะงะชิโนะ (1575): ชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์ที่โนะบุนะงะใช้กลยุทธ์พลปืน 3 แถว สลับกันยิงทำลายล้างกองทัพม้าที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลทะเกะดะ พิสูจน์ว่าเทคโนโลยีสามารถเอาชนะประเพณีดั้งเดิมได้
✅ ดาบสองคมของเทคโนโลยี: ปืนไฟช่วยรวมชาติญี่ปุ่นให้เป็นปึกแผ่น แต่ก็นำไปสู่นโยบายริบอาวุธและควบคุมการผลิตอย่างเข้มงวด จนเป็นจุดเริ่มต้นของการปิดประเทศที่ทำให้ญี่ปุ่นล้าหลังทางเทคโนโลยีไปนานกว่า 250 ปี
💬 แล้วคุณล่ะครับ...
ถ้าเทคโนโลยีที่สามารถพลิกโลกได้แบบ 'ปืนไฟ' มาอยู่ในมือคุณในวันนี้... คุณจะใช้มันเพื่อสร้างสรรค์หรือควบคุม?
ลองแชร์มุมมองกันได้นะครับ
🔎 แหล่งอ้างอิง
เนื้อหาเรียบเรียงและดัดแปลงจากบทความ "Land of the Rising Gun"
🙏 สนับสนุนการสร้างสรรค์เนื้อหา
ทุกตัวอักษรในบทความนี้ถูกสร้างขึ้นจากความตั้งใจที่จะมอบความรู้ในรูปแบบที่เข้มข้นและเข้าถึงง่ายที่สุดครับ ผมทำงานนี้ด้วยตัวคนเดียว และทุกการสนับสนุนจากคุณคือกำลังใจสำคัญที่ทำให้ผมสามารถผลิตผลงานคุณภาพแบบนี้ต่อไปได้
หากคุณชื่นชอบและอยากเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างพื้นที่ความรู้ดีๆ แบบนี้ สามารถสนับสนุนผมได้ผ่านช่องทาง [
https://ezdn.app/witlyofficial
]
ขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบครับ
ประวัติศาสตร์
ความรู้รอบตัว
ญี่ปุ่น
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย