30 ก.ย. เวลา 08:57 • ปรัชญา
เราชอบใจคำถามนี้มาก เพราะมีประเด็นด้านมิติในการปฏิบัติมาด้วย และที่สำคัญ เจ้าของกระทู้เขียนหนังสือไม่มีผิดสักตัว การเว้นช่องไฟ และวรรคตอนก็สมบูรณ์มาก เราชอบอ่านจิตและอุปนิสัยคน จากการเรียบเรียงตัวหนังสือนี่แหละค่ะ
ทั้งสองวิธี ล้วนคือแนวทางการปฏิบัติธรรมค่ะ แต่วิธีแรกคือการเจริญเมตตาภาวนา เหมาะสำหรับผู้ที่มีโทสะจริตมาก หรือผู้ที่มีอุปนิสัยเป็นคนโกรธง่าย มีความโกรธง่าย นิดหน่อยก็โกรธ โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ คนโบราณจะมีวลีหนึ่งที่เราชอบมากนั่นคือ "คนโกรธง่าย มักจะหายโกรธไว" และที่หายไว ก็เพราะการเจริญเมตตาภาวนา
พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้ผู้มีโทสะจริต
ฝึกเจริญเมตตาภาวนา
เพื่อเป็นคู่ปรับกับกิเลสของตน.
ส่วนวิธีที่สอง เป็นส่วนหนึ่งของการเจริญสติปัฎฐาน 4 ค่ะ ซึ่งปฏิบัติได้ยาก ส่วนมากพวกเรา เอาแต่ท่องจำว่าตนทำอยู่ ตนปฏิบัติอยู่ แต่เอาเข้าจริงๆ คนทั่วไปทำได้ยากกว่าวิธีแรก เราเคยฟังผู้รู้ท่านบอกว่า การพิจารณาเห็นจิตในจิต คือ จิตมีโทสะก็รู้ชัดว่าจิตมีโทสะนั้น เป็นกิจของปัญญาเจตสิกที่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง จึงต้องมีปัญญาขั้นต้น ถามว่าปัญญาขั้นต้นคืออะไร.....
ก็คือปัญญาในการรู้ลักษณะของจิตก่อน
ต่อมารู้ปัจจัยทำให้จิตเกิดโทสะ
ต่อมาจึงรู้ความเกิดและดับ
ต่อมาคือรู้ว่า ทั้งหมดนั้น
....ไม่มีตัวเราเข้าไปรู้เลย....
เป็นธรรมที่ทำกิจของธรรม เพียงเท่านั้น
(ไล่ทีละหนึ่งจุล ตามกฎไตรลักษณ์เลยค่ะ)
(ละเอียดยิบมากเลยนะคะ ไม่ใช่เพียงท่องจำ)
โฆษณา