30 ก.ย. เวลา 14:42 • ความคิดเห็น

🧠 คิดแบบ “มือหนึ่ง” เป็นยังไง?

“ทำไม Copy & Paste กลยุทธ์คนอื่น คือทางลัดสู่ความล้มเหลว?”
💥 กับดักของ “สูตรสำเร็จ” ที่สวยเกินจริง
* เรามักเห็นผู้นำองค์กรหรือผู้บริหารไปดูงานที่ต่างประเทศ กลับมาพร้อมประกาศตัวอย่างเช่น “เราจะใช้โมเดลแบบ Spotify!” หรือ “เราจะเป็น Agile แบบ Silicon Valley!” ฟังดูดี น่าตื่นเต้น และทำให้ทีมรู้สึกเหมือนองค์กรกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่?
* แต่สิ่งที่ตามมามักจะเป็นเพียงการ “ลอกเปลือก” โดยไม่เข้าใจแก่นแท้ของสิ่งที่ทำให้คนอื่นสำเร็จ ผลสุดท้ายองค์กรกลับเสียเวลา ทรัพยากร และความเชื่อมั่นของพนักงานไปโดยไม่ได้อะไรกลับมา
* "สิ่งที่หลายบริษัทพลาดคือ คิดว่าการเอา Framework หรือชื่อเรียกมาทาบลงกับองค์กร จะทำให้ได้ผลลัพธ์เหมือนต้นฉบับทันที"
* แต่ในความจริง บริบท วัฒนธรรม และปัญหาของแต่ละองค์กรไม่เหมือนกันเลย การ “Copy & Paste” จึงกลายเป็นทางลัดสู่ความล้มเหลว เพราะเรากำลังเลียนแบบสิ่งที่คนอื่น “ทำ” โดยไม่เข้าใจว่าเขา “คิด” อย่างไร?
====
📖 คิดจากแก่น (First Principles Thinking)
การคิดแบบมือหนึ่ง ไม่ได้เริ่มจากการถามว่า “บริษัทนั้นทำอะไร?” แต่เริ่มจากการถามว่า “เขากำลังแก้ปัญหาอะไร?” และ “เรามีปัญหาเหมือนเขาหรือไม่?” การคิดเชิงลึกแบบนี้มักอิงอยู่กับ 3 หลักใหญ่ กล่าวคือ
1. Simple scales better — ความเรียบง่ายที่ขยายผลได้ดีที่สุด
* ระบบที่ซับซ้อนมากเกินไป มักพังง่าย แก้ไขยาก และขยายผลลำบาก ตรงข้ามกับสิ่งที่เรียบง่ายแต่ชัดเจน ซึ่งจะยืดหยุ่นและขยายผลได้ดีกว่า
* ตัวอย่างเช่น  Google Search เริ่มต้นด้วยหน้าเว็บที่มีเพียง “กล่องค้นหา” หนึ่งกล่อง ถึงแม้เบื้องหลังซับซ้อนมหาศาล แต่ความเรียบง่ายนี้ทำให้ผู้ใช้เข้าใจได้ทันทีและสามารถใช้ได้ทุกคน
* หรือแอปธนาคารบนมือถืออย่าง K PLUS ของกสิกรไทย ที่ผู้ใช้คุ้นเคย จุดขายคือความเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน กดไม่กี่ครั้งก็ทำธุรกรรมได้ทันที ความง่ายตรงนี้เองที่ทำให้มีผู้ใช้งานครอบคลุมทุกกลุ่ม และขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว
2. Patterns over frameworks — มองหารูปแบบ ไม่ใช่กรอบตายตัว
* Framework คือกฎตายตัวที่บังคับให้ทุกคนทำตาม แต่ Pattern คือรูปแบบที่เกิดซ้ำๆ และสามารถยืดหยุ่นได้ ผู้เชี่ยวชาญจึงไม่ได้ยึดติดกับ Framework แต่พยายามมองหา Pattern แล้วประยุกต์ให้เหมาะกับสถานการณ์จริง
* ตัวอย่างเช่น Amazon ใช้หลักการ “Working Backwards” โดยเริ่มทุกโปรเจกต์ด้วยการเขียนข่าวประชาสัมพันธ์สมมุติของสินค้านั้นๆ ก่อน เพื่อให้ทุกคนชัดเจนว่า “ลูกค้าจะได้อะไร” นี่ไม่ใช่ Framework ตายตัว แต่เป็น Pattern ที่เน้นการเริ่มต้นจากลูกค้า
* หรือ Grab และ LINE MAN ไม่ได้ใช้ Framework ตายตัวแบบเดียวกัน แต่สิ่งที่พวกเขาทำซ้ำ  คือการมองหาความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง เช่น การส่งของด่วน หรือการสั่งอาหารจากร้านเล็กๆ แล้วสร้างบริการตอบโจทย์ให้เกิดจริง
3. Connections over components — เชื่อมต่อดีกว่าแค่ชิ้นส่วน
* คุณภาพขององค์กรหรือผลิตภัณฑ์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแต่ละชิ้นส่วนที่ดีที่สุดเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับการเชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ
* ตัวอย่างเช่น Apple ไม่ได้ขายแค่ iPhone แต่ขายทั้ง Ecosystem ที่ทำงานร่วมกับ MacBook, Apple Watch และ iCloud ได้อย่างราบรื่น ความมหัศจรรย์จึงอยู่ที่ “การเชื่อมต่อ” ไม่ใช่ตัวอุปกรณ์แยกส่วน
* หรือ Central Group ไม่ได้มีแค่ห้าง แต่ยังเชื่อมออนไลน์ (Central Online), บัตรเดอะวัน (The1), และร้านอาหารในเครือเข้าด้วยกัน ลูกค้าเลยรู้สึกว่าอยู่ในระบบนิเวศที่สะดวกครบวงจร ซึ่งสร้างคุณค่ามากกว่าห้างค้าปลีกเพียงอย่างเดียว
====
✨ จาก “ผู้ใช้สูตร” สู่ “สถาปนิกความคิด”?
* การนำ Framework มาใช้ไม่ใช่เรื่องผิด แต่หากใช้โดยไม่เข้าใจปัญหาและไม่มองหาหลักการที่แท้จริง เราก็แค่เป็น “ผู้ใช้สูตรสำเร็จ” ที่หวังผลลัพธ์จากการ Copy & Paste ซึ่งแทบไม่เคย work จริง
* การคิดแบบมือหนึ่งคือการฝึกมองให้ทะลุเปลือกและถามคำถามใหม่ๆ แทนที่จะถามคำถามเช่น “Spotify ทำอะไร?” เราควรถามว่า “Spotify กำลังแก้ปัญหาอะไร? และเราจะเรียนรู้ Pattern อะไรจากเขามาแก้ปัญหาของเราเองได้บ้าง?” เป็นต้น
นี่คือความต่างระหว่าง “ผู้ลอกเลียน” กับ “ผู้สร้างสรรค์” และเป็นบทพิสูจน์ว่าในโลกธุรกิจไทย ใครที่คิดได้แบบนี้…คือผู้ที่จะยืนหยัดได้จริง
#วันละเรื่องสองเรื่อง
#BusinessThinking
#SystemsThinking
#Leadership
#Strategy
#Innovation
#ProblemSolving
โฆษณา