1 ต.ค. เวลา 13:50 • ธุรกิจ

🏃‍♂️ "วิ่งบนลู่ที่ไม่สิ้นสุด” = ความเหนื่อยที่อันตรายที่สุดของทีม

(ความเหนื่อยที่กัดกร่อนใจคนทำงานในช่วงปลายปี?)
ทำไมความรู้สึก “ย่ำอยู่กับที่” ถึงทำลายทีมได้มากกว่า “งานหนัก” และบทบาทของผู้นำในการเปลี่ยน “ความเหนื่อยล้า” ให้กลายเป็น “ความหมาย”
====
💥 ความเงียบหลังชัยชนะ?
ลองจินตนาการว่า “โปรเจกต์ใหญ่ที่สุดของปีปิดจบลงตามเป้า ทุกอย่างควรเต็มไปด้วยการเฉลิมฉลอง แต่บรรยากาศในห้องกลับเงียบงัน” … ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีรอยยิ้ม มีเพียงความเหนื่อยล้าในแววตา
นี่คือ สัญญาณอันตราย เพราะความเหนื่อยแบบนี้ ไม่ได้มาจากงานหนัก แต่มาจากความรู้สึกว่า “สิ่งที่ทุ่มเทไป ไม่ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงใดๆ” เหมือนนักวิ่งที่ออกแรงสุดกำลังบนลู่ไฟฟ้า แต่เมื่อหยุดลง กลับพบว่ายังยืนอยู่ที่เดิม
====
🔍 ความเหนื่อยที่ต้องระวัง?
1. ร่างกาย – ทำงานหนัก ล่วงเวลาจนเกินขีดจำกัด เหมือนเครื่องยนต์ที่ถูกเร่งเกินกำลังจนสึกหรอเร็ว เปรียบได้กับคนที่ต้องเข้าออฟฟิศตั้งแต่เช้าจรดค่ำทุกวัน จนเริ่มป่วยง่ายและไม่มีเวลาใช้ชีวิตส่วนตัว
2. อารมณ์ – ไม่รู้สึกว่ามีใครเห็นคุณค่า ต่อให้สำเร็จก็ไม่มีใครชื่นชม เช่น ทำโปรเจกต์ใหญ่สำเร็จ แต่กลับไม่มีคำขอบคุณหรือแม้แต่รอยยิ้มจากหัวหน้า ความรู้สึกนี้กัดกินใจยิ่งกว่าความเหนื่อยทางกาย
3. ความหมาย – เจ็บปวดที่สุดคือการรู้สึกว่า “สิ่งที่ทำไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย” เหมือนทำงานวนซ้ำๆ แก้ปัญหาเดิมทุกปี โดยไม่มีอะไรดีขึ้นอย่างแท้จริง
จากการสัมภาษณ์พนักงานหลายคนที่ตัดสินใจมองหางานใหม่ พบว่าเหตุผลหลักไม่ใช่เพราะงานหนักเกินไป แต่เพราะพวกเขาไม่เห็นว่า “งานมีผลลัพธ์ต่อใครหรืออะไรจริงๆ”
หรือพูดง่าย ๆ คือ “ไม่มีใครเห็นคุณค่าของงานที่เขาทำ” ทำให้รู้สึกเบื่อหน่ายและหมดไฟ แม้เงินเดือนและสวัสดิการจะไม่ใช่ปัญหาก็ตาม
====
🧯 ตัวอย่าง "เมื่อความเหนื่อยกลายเป็นพิษได้อย่างไร?"
* Microsoft (ยุค Stack Ranking) – ระบบบังคับให้ผู้จัดการจัดอันดับพนักงาน แบ่งคนเก่ง-กลาง-แย่ ส่งผลให้เกิดการแข่งขันภายในรุนแรงกว่าความร่วมมือ ผลคือทีมอ่อนแรงและนวัตกรรมถดถอย (Vanity Fair, 2012)
* ญี่ปุ่นกับ Karoshi – การทำงานล่วงเวลามหาศาลทำให้เกิดการเสียชีวิตจากความเครียดสะสม Productivity ของประเทศกลับไม่ดีขึ้น สะท้อนว่าการทำงานหนักโดยไร้ความหมายไม่สร้างผลลัพธ์จริง (Japan Ministry of Health)
* Google Project Aristotle – งานวิจัยพบว่า Psychological Safety หรือ “ความปลอดภัยทางใจ” เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ทีมประสบความสำเร็จ มากกว่าจำนวนชั่วโมงทำงาน (Google Re:Work, https://rework.withgoogle.com)
====
💡 The Progress Principle หรือ "แรงจูงใจที่แท้จริง?"
Teresa Amabile และ Steven Kramer จาก Harvard Business School ทำการศึกษานานกว่า 12,000 วันทำงานของพนักงานในหลายองค์กร และสรุปผลในหนังสือ The Progress Principle (2011) ว่า
“ปัจจัยที่จุดไฟแรงจูงใจได้มากที่สุด ไม่ใช่โบนัสหรือรางวัลใหญ่ แต่คือ การรู้สึกถึงความก้าวหน้า แม้เพียงเล็กน้อย (Small Wins)”
กล่าว คือ "ถ้าในแต่ละวันทีมเห็นว่ามีงานเล็กๆ ที่ขยับไปข้างหน้า เช่น ปัญหาที่เคยติดขัดได้รับการแก้ไข หรือมีฟีดแบ็กที่ช่วยปรับปรุงงานได้จริง พลังใจก็จะถูกเติมเต็มอย่างเป็นธรรมชาติ"
ในทางกลับกัน หากทีมรู้สึกว่าตัวเอง “ย่ำอยู่กับที่” ต่อให้ทำงานหนักแค่ไหน เชื้อเพลิงทางใจก็จะหมดลงอย่างรวดเร็ว เหมือนคนออกแรงปั่นจักรยานอยู่กับที่ แต่ไม่เคยขยับไปข้างหน้า
[ดูเพิ่มเติม: Harvard Business Review, “The Power of Small Wins” https://hbr.org/2011/05/the-power-of-small-wins]
====
🧭 ตัวอย่างวิธีเปลี่ยนความเหนื่อย → ความหมาย
1. Celebrate Small Wins – Spotify เคยใช้การเลี้ยงเล็กๆ หลังปิด sprint เพื่อให้ทีมได้พักและมองเห็นว่าความพยายามไม่สูญเปล่า การได้ฉลองแม้เพียงขนมกับน้ำอัดลมในห้องประชุม ช่วยให้ทีมรู้สึกว่า “เราทำได้แล้วอีกหนึ่งก้าว”
2. Narrative Leadership – ไม่โชว์ตัวเลขแห้งๆ อย่างเดียว แต่เล่าเรื่องราวที่ทุกคนมีส่วนร่วม เช่น หัวหน้าบางบริษัทอาจบอกว่า “แม้เราจะพลาดยอดขาย แต่ปีนี้เราสร้างระบบใหม่ที่ทำให้การทำงานปีหน้าจะเร็วขึ้นครึ่งหนึ่ง” เรื่องเล่าช่วยสร้างความหมายได้ดีกว่าตัวเลขล้วนๆ
3. Redesign KPIs – ลดการใช้ตัวชี้วัดที่บีบให้แข่งกันเอง เช่น ใครปิดยอดได้มากที่สุด แล้วหันมาสร้าง KPI ร่วม เช่น ความพึงพอใจของลูกค้าทั้งทีม เพื่อให้ทุกคนรู้สึกว่า “เราชนะไปด้วยกัน”
4. End-of-year Rituals – Amazon เคยเลือกใช้การเล่า narrative แทนการพรีเซนต์สไลด์ ส่วน Google มีการประชุม TGIF ที่เปิดโอกาสให้ทีมสะท้อนสิ่งที่เรียนรู้และพูดคุยตรงกับผู้บริหาร ทำให้ทุกคนเห็นว่าความคิดของตัวเองมีคุณค่า
5. Recognize Invisible Work – การขอบคุณคนที่อยู่เบื้องหลัง เช่น ทีมไอทีที่คอยดูแลระบบจนงานใหญ่ผ่านพ้นไปได้ หรือฝ่ายซัพพอร์ตที่ไม่เคยออกสื่อ แต่เป็นเสาหลักให้ทีมเดินต่อ การกล่าวขอบคุณต่อหน้าทีมคือแรงใจมหาศาล
6. Reframe Challenges as Progress – ลองมองความท้าทายเป็นการก้าวหน้า เช่น ปัญหาที่วันนี้แก้ได้ง่ายดาย แต่เมื่อปีก่อนยังติดขัด นั่นแปลว่าเรากำลังเก่งขึ้นเรื่อยๆ และการเหนื่อยที่เจอก็ไม่สูญเปล่า
====
📌 ลู่ที่ไม่สิ้นสุด vs. มาราธอนที่มีเส้นชัย
* ถ้าองค์กรละเลย "ความหมาย" ทีมก็จะเหมือนคนวิ่งอยู่บนลู่ไฟฟ้า เหนื่อยมากแต่ยังยืนที่เดิม ต่อให้เหงื่อออกแค่ไหนก็ไม่รู้สึกว่ามีการเปลี่ยนแปลง เหมือนทำงานหนักทุกวันแต่ปัญหาเดิมๆ ยังอยู่ครบ
* แต่ถ้าผู้นำช่วยวาด "แผนที่" และ "เส้นชัย" ให้เห็นชัด ทีมจะเหมือนนักวิ่งมาราธอนที่แม้เหนื่อยแต่ภูมิใจ เพราะรู้ว่ากำลังเข้าใกล้เป้าหมายทีละก้าว
* ตัวอย่างเช่น ทีมเซลส์ที่อาจยังไม่ถึงยอดขายใหญ่ แต่ได้รับการชี้ให้เห็นว่าได้สร้างฐานลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น 20% นั่นคือสัญญาณว่าเรากำลังขยับไปข้างหน้า ความเหนื่อยจึงถูกแปลงเป็นพลังใจ ไม่ใช่ความว่างเปล่า เป็นต้น
====
✨ ภารกิจของผู้นำในช่วงปลายปี
Q4 ไม่ได้วัดกันที่ KPI เท่านั้น แต่ยังเป็นช่วงเวลาที่หัวหน้าต้องหันกลับมาใส่ใจเรื่อง “หัวใจทีม” ว่าพวกเขายังเห็นคุณค่าในสิ่งที่ทำอยู่หรือไม่ และยังมีแรงที่จะเดินหน้าต่อไปในปีหน้าหรือเปล่า เพราะในความเป็นจริง มนุษย์ทนความเหนื่อยล้าได้ หากเห็นเส้นชัยอยู่ตรงหน้า แต่ไม่มีใครทนได้กับการวิ่งบนลู่ที่หมุนวนอยู่กับที่
หน้าที่ของผู้นำจึงไม่ใช่แค่กดดันให้ตัวเลขปิดตามเป้า แต่คือการสื่อสารให้ทีมเห็น “ความหมายของสิ่งที่ทำ” และ “ความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นจริง”
ตัวอย่างเช่น แทนที่จะบอกเพียงว่ายอดขายยังไม่ถึงเป้า อาจชี้ให้เห็นว่าเราขยายฐานลูกค้าใหม่ได้ 20% หรือระบบที่เคยติดขัดตอนต้นปี วันนี้ทำงานได้ลื่นไหลขึ้นมาก สิ่งเล็กๆ เหล่านี้คือหลักฐานของการเดินทางที่ไม่สูญเปล่า
หน้าที่ของผู้นำคือการปิดลู่วิ่ง และเปิดแผนที่ให้ทีมเห็นว่า พวกเขาเดินทางมาไกลเพียงใดแล้ว และยังเหลือระยะเท่าใดที่จะถึงเป้าหมาย
“คนทำงานไม่ได้หมดไฟเพราะงานหนัก แต่หมดไฟเพราะไม่เห็นว่าความเหนื่อยของตัวเองพาไปข้างหน้า”
#วันละเรื่องสองเรื่อง #Burnout #Leadership #ProgressPrinciple #TeamMorale #YearEnd #ภาวะผู้นำ #หมดไฟ
โฆษณา