2 ต.ค. เวลา 00:20 • ประวัติศาสตร์

โศกนาฏกรรมคุกคารานดูรู (Carandiru Massacre) — 2 ตุลาคม ค.ศ. 1992

วันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 1992 นับเป็นวันที่โลกต้องจดจำในฐานะหนึ่งในเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่เลวร้ายที่สุดในระบบราชทัณฑ์สมัยใหม่ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่เรือนจำคารานดูรู (Carandiru Penitentiary) ในเมืองเซาเปาโล ประเทศบราซิล เรือนจำแห่งนี้ในเวลานั้นถือว่าใหญ่ที่สุดในละตินอเมริกา และมีชื่อเสียงในทางลบเรื่องความแออัดและการจัดการที่ย่ำแย่
ในวันนั้น เกิดเหตุทะเลาะวิวาทระหว่างผู้ต้องขังในเรือนจำ ซึ่งลุกลามกลายเป็นการจลาจลครั้งใหญ่ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ จึงขอความช่วยเหลือจากตำรวจทหารเซาเปาโล หน่วยปราบจลาจลถูกส่งเข้ามาเพื่อปราบปรามและ “ยุติความวุ่นวาย” แต่สิ่งที่ตามมาคือการใช้กำลังอย่างรุนแรงเกินขอบเขต
เมื่อการปฏิบัติการสิ้นสุดลง มีผู้ต้องขังถูกสังหารไปอย่างน้อย 111 คน ในจำนวนนี้ 102 คนเสียชีวิตจากการถูกยิงโดยตรง ขณะที่ไม่มีรายงานว่ามีตำรวจเสียชีวิตแม้แต่รายเดียว เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความตื่นตะลึงและการถกเถียงอย่างกว้างขวางในสังคมบราซิลและนานาประเทศ เนื่องจากสะท้อนถึงการใช้ความรุนแรงเกินจำเป็นและการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง
รายงานจากผู้รอดชีวิตเล่าว่า หลายคนถูกยิงในห้องขังของตนเองโดยไม่มีโอกาสต่อสู้หรือหนีรอด ขณะที่บางคนยกธงขาวหรือยอมจำนนแล้ว แต่ก็ยังถูกใช้กำลังอย่างโหดร้าย เหตุการณ์นี้ทำให้เรือนจำคารานดูรูกลายเป็นสัญลักษณ์ของความล้มเหลวในระบบยุติธรรมและราชทัณฑ์ของบราซิล
ผลกระทบของโศกนาฏกรรมครั้งนี้ขยายกว้างไกล ผู้คนทั้งในประเทศและต่างประเทศเรียกร้องให้รัฐบาลบราซิลปฏิรูประบบเรือนจำ รวมถึงตั้งคำถามต่อวิธีการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐต่อผู้ต้องขัง แม้ว่าในเวลาต่อมาเจ้าหน้าที่บางคน รวมถึงพันเอกที่นำการปราบปราม จะถูกนำขึ้นศาลและตัดสินว่ามีความผิด แต่การดำเนินคดีใช้เวลายาวนานหลายสิบปี และหลายฝ่ายเห็นว่าผลลัพธ์ไม่เคยสะท้อนความยุติธรรมที่แท้จริงต่อผู้เสียชีวิต
คุกคารานดูรูเองถูกปิดตัวลงในปี ค.ศ. 2002 และถูกทำลายในเวลาต่อมา ปัจจุบัน บริเวณดังกล่าวได้ถูกพัฒนาใหม่ แต่โศกนาฏกรรมยังคงเป็นรอยแผลลึกในประวัติศาสตร์สังคมบราซิล
โศกนาฏกรรมคุกคารานดูรูไม่เพียงเป็นเหตุการณ์ความรุนแรงในเรือนจำ หากยังสะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำทางสังคม การใช้กำลังเกินกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่รัฐ และการเพิกเฉยต่อสิทธิมนุษยชน เหตุการณ์นี้ยังคงเป็นบทเรียนสำคัญต่อรัฐบาลทั่วโลกว่า การจัดการผู้ต้องขังและการควบคุมเรือนจำไม่อาจพึ่งพา “กำลัง” เพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยความเข้าใจด้านสิทธิมนุษยชนและความเป็นมนุษย์เป็นรากฐานด้วย
โฆษณา