2 ต.ค. เวลา 11:16 • ไลฟ์สไตล์

📌 ทำความรู้จัก ‘Latte Factor’ ที่ซ่อนอยู่ในชีวิตเรา

คงมีใครหลายคนเริ่มต้นเช้าวันทำงานคล้าย ๆ กัน คือการเดินเข้าร้านกาแฟร้านโปรด กลิ่นหอมกรุ่นของเมล็ดกาแฟคั่วใหม่ ๆ เสียงเครื่องบดดังเป็นจังหวะ และการได้ถือแก้วกาแฟอุ่น ๆ ที่มีชื่อเราเขียนอยู่ข้างแก้ว มันไม่ใช่แค่เครื่องดื่ม แต่มันคือ ‘พิธีกรรม’ คือความสุขเล็ก ๆ คือการปลุกร่างกายให้ตัวเองเพื่อสู้กับวันแห่งการทำงานที่ยาวนาน
แต่เคยไหมที่เราจะลองหยุดและฉุกคิดว่า ‘ความสุขเล็ก ๆ’ ที่เราจ่ายไปทุกวันนั้น เมื่อเวลาผ่านไป มันอาจกำลังสะสมตัวเป็น ‘ต้นทุน’ ของความฝันที่ใหญ่กว่าที่เราไม่เคยได้เริ่มต้นเสียที
แน่นอนว่าการจ่ายเพื่อความสุขในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องผิด และหากนั่นคือการแลกเปลี่ยนที่คุณพิจารณามาอย่างดีแล้ว ก็ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่สำหรับใครที่เริ่มเอะใจและอยากรู้ว่าต้นทุนที่ว่านั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร เรามาลองสำรวจเรื่องนี้ไปพร้อมกัน
----------
เรื่องนี้เริ่มต้นจากแนวคิดที่น่าสนใจของนักเขียนการเงินชื่อ David Bach เขาเรียกมันว่า ‘Latte Factor’ หรือแปลเป็นไทยง่าย ๆ ก็คือ ‘ปัจจัยกาแฟลาเต้’ นั่นเอง
David ไม่ได้ชวนให้เราเลิกดื่มกาแฟ แต่เขาชวนให้เรา ‘ตระหนักรู้’ ถึงพลังของเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไหลออกจากกระเป๋าเราไปอย่างสม่ำเสมอโดยที่เราแทบไม่รู้สึกตัว
1
ลองนึกถึงกาแฟแก้วละ 70 บาท ฟังดูไม่เยอะเลยใช่ไหม? เรายอมจ่ายได้เพื่อความสุขตรงหน้า แต่ถ้าเราดื่มมันทุกวันทำงาน (จันทร์-ศุกร์) มันคือเงิน 350 บาทต่อสัปดาห์ หรือ 1,400 บาทต่อเดือน และเมื่อครบปี ตัวเลขนั้นจะกลายเป็น 16,800 บาท
เงินหนึ่งหมื่นหกพันแปดร้อยบาท ลอยไปกับไอน้ำกรุ่น ๆ ของกาแฟ
นี่คือหัวใจของ Latte Factor มันคือการทำให้เราเห็นว่า เงินก้อนเล็กที่จ่ายไปกับสิ่งที่ไม่ใช่ ‘ความจำเป็น’ แต่เป็น ‘ความเคยชิน’ นั้น เมื่อมันรวมตัวกัน มันมีพลังมหาศาลขนาดไหน
1
----------
แต่ Latte Factor ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องกาแฟ ความแยบยลของแนวคิดนี้คือ ‘Latte Factor’ ของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน
🚩สำหรับบางคน อาจจะเป็น ‘ชานมไข่มุก Factor’ ที่ต้องดื่มทุกบ่าย
🚩สำหรับบางคน อาจจะเป็น ‘มื้อกลางวันเดลิเวอรี Factor’ เพราะขี้เกียจออกไปข้างนอก
🚩หรืออาจจะเป็น ‘สตรีมมิ่ง Factor’ ที่เราสมัครไว้ 3-4 เจ้า แต่ดูจริง ๆ แค่เจ้าเดียว
🚩แม้กระทั่ง ‘สกินแคร์ Factor’ ที่ซื้อมาเก็บไว้เพราะแพ้การตลาด แต่ไม่เคยเปิดใช้
สิ่งเหล่านี้คือ ‘รูรั่ว’ เล็ก ๆ ที่มองไม่เห็นในกระเป๋าสตางค์ของเรา มันไม่เคยทำให้เราล้มละลายในทันที แต่มันค่อย ๆ ดูดเงินที่เราควรจะนำไปสร้างอนาคตออกไปทีละน้อย ๆ
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่การ ‘ห้าม’ แต่คือการ ‘เลือก’ อย่างมีสติ
----------
David ย้ำเสมอว่า เป้าหมายไม่ใช่การใช้ชีวิตอย่างกระเบียดกระเสียร หรือการปฏิเสธความสุขทุกอย่าง แต่คือการเปลี่ยนจาก ‘ผู้บริโภคโดยไม่รู้ตัว’ (Unconscious Spender) มาเป็น ‘ผู้บริโภคอย่างมีสติ’ (Conscious Spender)
1
แทนที่จะห้ามตัวเองดื่มกาแฟ ลองถามตัวเองใหม่ว่า “เราต้องการมันจริง ๆ หรือแค่ทำไปตามความเคยชิน?” บางทีการชงกาแฟดริปง่าย ๆ ที่ออฟฟิศ อาจให้ความสุขได้ไม่แพ้กัน แถมยังประหยัดเงินไปได้มหาศาล
----------
🟢 มีทางเลือกอื่นที่ให้ความสุขใกล้เคียงกันในราคาที่ถูกกว่าไหม?
1
ถ้าเรานำเงิน 16,800 บาทต่อปีนี้ไปทำอย่างอื่น เราจะทำอะไรได้บ้าง? มันอาจจะเป็นเงินดาวน์คอร์สเรียนภาษาใหม่ ๆ เป็นทริปเที่ยวญี่ปุ่นที่เราฝันถึง หรือเป็นเงินก้อนแรกสำหรับการลงทุนในกองทุนรวม ที่จะงอกเงยเป็นเงินก้อนใหญ่ในอนาคต
การลดค่าใช้จ่ายเรื่องอาหารการกินเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่แหละ คือจุดเริ่มต้นที่ง่ายและทรงพลังที่สุด มีตัวอย่างครอบครัวมากมายในต่างประเทศที่แค่เริ่ม ‘วางแผนมื้ออาหาร’ ล่วงหน้า ทำอาหารกินเองมากขึ้น ก็สามารถประหยัดเงินได้เดือนละหลายพันบาท เงินที่เคยหายไปกับค่าเดลิเวอรีและมื้ออาหารนอกบ้าน ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นเงินออมเพื่อการศึกษาของลูก หรือกองทุนฉุกเฉินของครอบครัว
สุดท้ายแล้ว Latte Factor ไม่ใช่สูตรสำเร็จทางการเงินที่บังคับให้เราต้องทำตาม แต่เป็นเหมือน ‘กระจก’ ที่สะท้อนนิสัยการใช้เงินของเราเอง มันชวนให้เราตั้งคำถามกับตัวเองว่า เงินทุกบาทที่เราจ่ายไป มันกำลังพาเราเข้าใกล้ ‘ชีวิตที่เราต้องการ’ หรือกำลังพาเรา ‘ออกห่าง’ จากมันไปทีละนิด
ลองกลับไปสำรวจชีวิตประจำวันของคุณดูนะครับว่า ‘Latte Factor’ ที่ซ่อนอยู่ในนั้นคืออะไร สำหรับเราก็คงเป็น ‘สตรีมมิ่ง Factor’ ที่ถึงเวลาต้องกลับมาจัดระเบียบเสียใหม่ แล้วคุณเจออะไรกันบ้าง? ลองคอมเมนต์มาแลกเปลี่ยนกันได้เลย
#FollowTheMoney #การเงิน #ออมเงิน #พัฒนาตัวเอง #วางแผนการเงิน
โฆษณา