Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ร้อยเรื่องหลากมุมกับ ภก.ปราโมทย์
•
ติดตาม
เมื่อวาน เวลา 16:06 • สุขภาพ
ดอกไม้ 5 ชนิด ที่กลายเป็นยาระดับโลก
ภาพจำของดอกไม้สำหรับใครหลายคน อาจเป็นเพียงสัญลักษณ์สื่อแทนความรู้สึกบางอย่าง เช่น ความรัก ความคิดถึง ความเคารพ ความเสียใจ ดอกไม้บางชนิดอาจมีประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจเช่น ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม สามารถนำมาใช้ทำน้ำหอม ดอกไม้กันยุง หรือแม้แต่ดอกไม้ที่นำมาทำเป็นอาหาร มีรสชาติที่ยอดเยี่ยม ก็มีให้เห็นอยู่ไม่น้อย
แต่นอกเหนือจากนี้ ก็มีดอกไม้ ที่ถูกค้นพบสารสำคัญที่มีศักยภาพในการกลายเป็นยาแผนปัจจุบัน และได้มีบทบาทในการช่วยชีวิตผู้คนหลายล้านคนทั่วโลก วันนี้เราจึงมาคุยเรื่องดอกไม้ 5 ชนิด ที่สามารถกลายเป็นยา ที่เป็นกระดูกสันหลังสำคัญในการรักษาโรคหลายโรคในปัจจุบัน
1. แพงพวยฝรั่ง (Catharanthus roseus)
สำหรับเภสัชกร เมื่อพูดถึงดอกไม้ที่มีสรรพคุณยา และกลายเป็นยาแผนปัจจุบันได้ ไม่มีใครไม่รู้จักแพงพวยฝรั่ง ต้นแพงพวยฝรั่ง (Catharanthus roseus L. G. Don)
เป็นพืชยืนต้นในตระกูล Apocynaceae มีถิ่นกำเนิดในมาดากัสการ์. ในอดีตตามตำนานพื้นบ้าน สารสกัดจากใบของพืชนี้เคยถูกกล่าวอ้างว่ามีประโยชน์ในการรักษาโรคเบาหวาน.
อย่างไรก็ตาม การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ในทศวรรษ 1950 โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวแคนาดา Robert Noble และ Charles Beer เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติต้านเบาหวาน กลับนำไปสู่การค้นพบฤทธิ์ทางเซลล์ที่เป็นพิษ (Cytotoxic effects) และการต้านมะเร็งอย่างคาดไม่ถึง
สารสำคัญที่ถูกค้นพบคือ Monoterpenoid Indole Alkaloids (MIAs) ซึ่งรวมถึง Vinblastine (VBL) และ Vincristine (VCR) ซึ่งต่อมากลายเป็นยาต้านมะเร็งที่สำคัญที่สุดกลุ่มหนึ่ง โดย Vinblastine และ Vincristine มีกลไกการการยับยั้งการรวมตัวของ Tubulin (Tubulin assembly) เพื่อหยุดชะงักของการแบ่งเซลล์ในระยะ Metaphase (Mitotic arrest) และกระตุ้นให้เกิดการตายของเซลล์ (Apoptosis) ในเซลล์มะเร็ง ทำให้แพงพวยฝรั่งกลายเป็นยามะเร็งที่สำคัญในช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆถูกแทนที่ด้วยยามุ่งเป้าในเวลาต่อมา
2. ฝิ่น (Opium Poppy: Papaver somniferum L.)
ต้นฝิ่น (Papaver somniferum) เป็นแหล่งกำเนิดของสารเสพติดและยาแก้ปวดที่มีฤทธิ์สูงที่สุดชนิดหนึ่งในประวัติศาสตร์. ฝิ่นคือยางแห้งที่ได้จากการกรีดผลของฝิ่นที่ยังไม่สุก สารออกฤทธิ์หลักที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติคือ Alkaloids ในกลุ่ม Opiates ซึ่งได้แก่ Morphine, Codeine, Noscapine และ Thebaine
ในปี 1805 Friedrich Wilhelm Adam Sertürner สามารถแยก Morphine ออกจากฝิ่นดิบได้อย่างบริสุทธิ์ การค้นพบนี้ถือเป็นการริเริ่มการศึกษาอย่างเป็นระบบของสารประกอบธรรมชาติในฐานะสาขาเภสัชกรรม ความเข้าใจในโครงสร้าง Opiate Alkaloids ยังเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างยาแก้ปวดกึ่งสังเคราะห์อื่นๆ เช่น Oxycodone และ Hydrocodone
Opioids ออกฤทธิ์โดยการเป็น Agonist ที่ Opioid receptors (มักเป็น μ, κ, และ δ) ที่กระจายอยู่ในระบบประสาทส่วนกลางและส่วนปลาย. การจับนี้ทำให้เกิดผลคล้าย Morphine รวมถึงการระงับความเจ็บปวด (Analgesia) อย่างมีประสิทธิภาพ. ในทางการแพทย์ ยาในกลุ่มนี้ถูกใช้หลักสำหรับการระงับปวด, การรักษาอาการท้องร่วง, และการระงับไอ. อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงที่สำคัญ ได้แก่ การกดการหายใจ (Respiratory depression) และความเสี่ยงสูงต่อการเกิดการทนยา (Tolerance) และการพึ่งพายาทางร่างกาย (Physical dependence)
3. ต้นฟอกซ์โกลฟ (Foxglove: Digitalis lanata / purpurea)
เป็นอีกหนึ่งตำนานดอกไม้เอามาทำยา ต้นฟอกซ์โกลฟ (Digitalis lanata หรือ Woolly foxglove) เป็นแหล่งกำเนิดของ Cardiac glycosides ซึ่งเป็นกลุ่มสารประกอบที่มีผลกระทบต่อการทำงานของเซลล์หัวใจ. สารในกลุ่มนี้ที่สำคัญที่สุดคือ Digoxin ซึ่งเป็นหนึ่งในยาที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงใช้ในเวชปฏิบัติโรคหัวใจ
ในปี 1785 เมื่อ William Withering แพทย์ชาวอังกฤษ ได้เผยแพร่รายงานคลาสสิกเกี่ยวกับการใช้ Digitalis ในการรักษาภาวะ Dropsy (อาการบวมน้ำ) ซึ่งมักเป็นผลมาจากหัวใจล้มเหลว Cardiac glycosides เป็นโมเลกุลที่มีโครงสร้างซับซ้อน ประกอบด้วยสามส่วนหลัก: วงแหวนสเตอรอยด์, วงแหวนแลคโตนที่มี 5 หรือ 6 คาร์บอน
Digoxin ออกฤทธิ์ผ่านกลไกหลักคือ ฤทธิ์เพิ่มแรงบีบตัวหัวใจ (Positive Ionotropic Effect) ยับยั้งเอนไซม์ Na+/K+-ATPase pump ในเยื่อหุ้มเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจแบบผันกลับได้ (Reversible inhibition)
การยับยั้งนี้ทำให้อะตอมโซเดียม (Na+) ภายในเซลล์เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงกลไกการแลกเปลี่ยน Na+/Ca2+ ทุติยภูมิ ทำให้แคลเซียม (Ca2+) ไหลเข้าสู่เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจมากขึ้น. แคลเซียมที่เพิ่มขึ้นนี้ช่วยเสริมสร้างความสามารถในการบีบตัวของหัวใจ (Myocardial contractility) และเพิ่มปริมาณเลือดที่สูบฉีดออกไป (Cardiac Output)
4. ต้นเบลลาดอนนา (Deadly Nightshade: Atropa belladonna L.)
Deadly Nightshade หรือ เบลลาดอนนา เป็นพืชมีพิษร้ายแรงในตระกูล Solanaceae. พืชนี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนานในการใช้เป็นยาพิษ ชื่อ "belladonna" แปลว่า "Beautiful Woman" เนื่องจากมีการใช้เพื่อขยายรูม่านตาในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา
สารออกฤทธิ์หลักคือ Tropane Alkaloids โดยเฉพาะ Hyoscyamine และ Atropine. การแยกสาร Alkaloid บริสุทธิ์ครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 1833 โดย Hesse. การแยกสารนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่ง เพราะเป็นเครื่องมือพื้นฐานในการศึกษาการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ
สาร Tropane Alkaloid ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติใน Atropa belladonna คือ L-Hyoscyamine (levorotatory) ซึ่งเป็นรูปแบบที่มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยามากที่สุด. อย่างไรก็ตาม Atropine ที่ใช้ในทางการแพทย์และเภสัชตำรับส่วนใหญ่ เป็นรูปแบบ Racemic mixture ซึ่งประกอบด้วย L-Hyoscyamine และ D-Hyoscyamine ในอัตราส่วน 1:1
Atropine เป็นสาร Anticholinergic ที่ออกฤทธิ์เป็น Competitive Antagonist แบบไม่จำเพาะเจาะจงต่อ Muscarinic Cholinergic Receptors (M1-M5). การยับยั้งตัวรับเหล่านี้เป็นการยกเลิกผลกระทบของการกระตุ้นระบบประสาทพาราซิมพาเทติก
ผลกระทบทางคลินิกของ Atropine มีหลายด้าน เช่น การเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ (Tachycardia), การลดการหลั่งน้ำลายและสารคัดหลั่งอื่นๆ, และการคลายกล้ามเนื้อเรียบ. ข้อบ่งใช้หลักทางการแพทย์ ได้แก่ การรักษาภาวะหัวใจเต้นช้าที่มีอาการ (Symptomatic Bradycardia), การลดการหลั่งสารคัดหลั่งก่อนการผ่าตัด, และใช้เป็นยาแก้พิษที่สำคัญสำหรับการเป็นพิษจากสาร Organophosphate อีกด้วย
5. ต้นวิลโลว์ (Salix species)
เปลือกของต้นวิลโลว์ (Salix sp.) ถูกใช้ในการแพทย์พื้นบ้านเป็นยาแก้ปวดและลดไข้มานานกว่า 3,500 ปี โดยมีหลักฐานย้อนกลับไปถึงชาวสุเมเรียนและชาวอียิปต์โบราณ. สารตั้งต้นทางเคมีที่สำคัญตามธรรมชาติในเปลือกวิลโลว์คือ Salicin ซึ่งเป็น glycoside. ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 มีการแยก Salicin ได้สำเร็จ และต่อมาถูกไฮโดรไลซ์ให้กลายเป็น Salicylic Acid (2-Hydroxybenzoic acid) ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพหลัก. Salicylic Acid ถูกผลิตในเชิงพาณิชย์ครั้งแรกในปี 1874
ในปี 1897 Felix Hoffmann นักเคมีของบริษัทยา Bayer ได้สังเคราะห์อนุพันธ์ของ Salicylic Acid โดยกระบวนการ Acetylation (การเติมหมู่อะซีติล) เพื่อสร้าง Acetylsalicylic Acid (ASA). สารประกอบใหม่นี้ถูกตั้งชื่อทางการค้าว่า Aspirin (โดย A มาจาก Acetyl และ 'spirin' มาจาก
Acetylsalicylic Acid (Aspirin) จัดอยู่ในกลุ่ม Non-Steroidal Anti-Inflammatory Drugs (NSAIDs). กลไกหลักของมันคือการยับยั้งเอนไซม์ Cyclooxygenase (COX-1 และ COX-2) อย่างถาวร (Irreversible inhibition). การยับยั้งนี้จะขัดขวางการสังเคราะห์ Prostaglandins ซึ่งเป็นสารสื่อกลางที่ก่อให้เกิดการอักเสบ ไข้ และความเจ็บปวด
การยับยั้ง COX-1 อย่างถาวรในเกล็ดเลือดยังทำให้ Aspirin มีคุณสมบัติต้านการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด (Anti-platelet agent) ที่มีประสิทธิภาพ. ด้วยคุณสมบัตินี้ Aspirin จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาเชิงป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงของโรคหัวใจขาดเลือด เป็นต้น
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น นอกจากดอกไม้แล้ว ยังมีวัตถุอีกมากมาย ที่สามารถนำมาทำเป็นยา และมีการใช้อย่างกว้างขวาง ในแบบที่เราคาดไม่ถึง ซึ่งเราจะมาพูดกันในโอกาสต่อๆไปครับ
อ้างอิง
https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC6412926/
https://pubchem.ncbi.nlm.nih.gov/compound/Atropine
https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC8302889/
https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/30256480/
สุขภาพ
ความรู้รอบตัว
1 บันทึก
7
4
2
1
7
4
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย