3 ต.ค. เวลา 07:04 • ธุรกิจ

รพ.เอกชน บวกกำไรค่ายามากถึง 1,000%

ใครเคยมีประสบการณ์กับโรงพยาบาลเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาล แบรนด์เนมสักหน่อยจะทราบดีว่า การเดินเข้าโรงพยาบาลแต่ละครั้ง ถ้าไม่มีประกันหรือสิทธิเบิกจ่ายอะไรสักอย่างเลย มีเป็นลมวูบไปอีกรอบแน่นอน
2
นั่นก็เป็นเพราะว่า ราคาค่ารักษาในโรงพยาบาลเอกชนของไทยนั้นค่อนข้างแพง เมื่อเทียบกับมาตรฐานรายได้ต่อหัวของคนในประเทศ ซึ่งราคาดังกล่าว ก็รวมถึงค่ายาที่ใช้ในการรักษาด้วย
ปัญหาราคายาและเวชภัณฑ์ในโรงพยาบาลเอกชนของประเทศไทยที่สูงเกินจริงได้กลายเป็นข้อกังวลสาธารณะที่สำคัญและนำไปสู่การร้องเรียนอย่างต่อเนื่องต่อหน่วยงานกำกับดูแล
ข้อมูลจากการวิเคราะห์โดยกรมการค้าภายในพบว่า โรงพยาบาลเอกชนบางแห่งมีการกำหนดอัตรากำไรส่วนเกิน (Margin) ที่สูงมากในรายการยาพื้นฐานและยาสามัญทั่วไป. ยกตัวอย่างเช่น ยาแก้ปวดลดไข้ (Tylenol) ถูกพบว่ามีอัตรากำไรสูงสุดถึง 97.82% และยาควบคุมความดันโลหิต (Anapril) มีอัตรากำไรสูงถึง 98.91%. ในภาพรวม ยาบางประเภททำกำไรสูงเฉลี่ยระหว่าง 30-200%
2
เท่านั้นยังไม่พอ ในบางรายการที่เป็นยายอดนิยม เช่น ยาปฏิชีวนะในกลุ่ม Penicillin
อย่าง Amoxicillin ที่ราคาทั่วไปเพียงเม็ดละ 3-5 บาท ราคาต่อแผงอย่างแพงก็ไม่เกิน 50 บาท แต่เมื่ออยู่ในโรงพยาบาลเอกชน อาจมีราคาสูงได้ถึง 300 บาทต่อเม็ด
นอกจากนี้ ยาบางรายการอาจมีการบวกกำไรสูงสุดได้มากถึง 1,000% ขึ้นอยู่กับการใช้และ Branding ของยา
1
เรื่องนี้กลายเป็นอุปสรรคต่อการทำ Price Transparency หรือการแสดงข้อมูลราคาและเพดานกำไรบนฉลาก ทั้งนี้เนื่องจากราคายาในโรงพยาบาลเอกชนใช้กลยุทธ์การบวกเพิ่มราคา (Mark-up) ในระดับที่สูงกว่าต้นทุนการจัดซื้อมาก. ข้อมูลเชิงประจักษ์ยืนยันว่า โรงพยาบาลเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มโรงพยาบาลเครือข่ายขนาดใหญ่ ซึ่งโดยปกติควรจะมีอำนาจการต่อรองสูงและสามารถจัดซื้อยาได้ในราคาต้นทุนที่ต่ำ กลับมีการกำหนดราคาขายยาที่สูงลิ่ว
ภาวะผูกขาดและการขาดการกลไกควบคุม ่ทำให้รพ.เอกชนไม่ถูกบังคับให้ขายตามราคาที่แจ้งไว้ การร้องเรียนทำได้ยาก และการเปรียบเทียบราคาไม่สามารถทำได้โดยสะดวก การผูกขาดเป็นผลให้ราคายาต้นตำรับถูกกำหนดในระดับที่สูงมาก โดยที่ไม่มีแรงกดดันด้านราคาจากการแข่งขัน. ในฐานะที่เป็นกลไกเชิงโครงสร้าง การผูกขาดนี้ส่งผลให้ต้นทุนการซื้อยาเข้าสู่ระบบโรงพยาบาลเอกชน (Acquisition Cost) สูงตามไปด้วย โดยเฉพาะยาใหม่และยาที่ใช้รักษาโรคซับซ้อน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่โรงพยาบาลเอกชนนำมาเป็นข้ออ้างในการตั้งราคาขายที่สูง
นี่ยังไม่รวมเรื่องของข้อมูลราคายาที่ไม่ Real-Time เช่น การแสดงราคาต่อการตรวจสอบและการคิดราคาจริงไม่ตรงกัน และการที่ประชาชนจะตรวจสอบราคายาผ่านฐานข้อมูลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำได้ยากลำบาก และขาดการประชาสัมพันธ์ที่มากเพียงพอ
4
หลายฝ่ายจึงออกมาเรียกร้องนโยบาย "Freedom to Choose" คือการกระจายบทบาทการจ่ายยาจากโรงพยาบาลเอกชน ไปหาหน่วยบริการใกล้บ้าน เพื่อให้ผู้ป่วยมีสิทธิเลือกมากขึ้น ลดการผูกขาดราคาของโรงพยาบาลเอกชน
หากนโยบาย Price Transparency เกิดขึ้นจริง โรงพยาบาลเอกชนจะต้องแสดงรายละเอียดการสั่งจ่ายยา เช่น ชื่อสามัญทางยา ชื่อทางการค้า รูปแบบยา ปริมาณ วิธีใช้ และราคาต่อหน่วย รวมถึงเพดานกำไรบนฉลากยา ซึ่งเป็นเรื่องท้าทายมาก การทำความเข้าใจกับประชาชน ที่อาจรู้สึกว่าการไม่ได้รับยาจากโรงพยาบาล และต้องเอาใบสั่งยาไปรับที่หน่วยบริการใกล้บ้าน เป็นเรื่องยุ่งยาก แต่สามารถช่วยลดค่าใช้จ่าย และมูลค่าส่วนเกินที่สูญเสียไปเป็นมูลค่ามหาศาลได้มากเท่าใด
นอกจากนี้ ภาครัฐควรพัฒนาการวิเคราะห์ข้อมูลราคาซื้อและราคาขายยาอย่างต่อเนื่องและเชิงลึก โดยแยกวิเคราะห์อัตรากำไรตามประเภทของยา (ยาต้นตำรับ ยาสามัญ) และแยกตามโครงสร้างโรงพยาบาล การวิเคราะห์ข้อมูล Big Data ที่ละเอียดนี้จะช่วยให้มาตรการควบคุมและกำกับดูแลสามารถดำเนินการได้อย่างตรงจุดและมีเป้าหมาย ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อความอยู่รอดของโรงพยาบาลเอกชนขนาดเล็กที่มีอำนาจต่อรองต่ำ และเพิ่มระบบรายงานที่ประชาชนสามารถตรวจสอบได้ เพื่อให้ราคายามีความโปร่งใสและเป็นธรรมต่อผู้รับบริการมากขึ้น
อ้างอิง
โฆษณา