4 ต.ค. เวลา 12:00 • ประวัติศาสตร์

วิถีเทศกาลไหว้พระจันทร์ เทศกาลล้ำค่า โต๊ะไหว้น่าชม ขนมยอดฮิตและเศรษฐกิจเชิงวัฒนธรรมที่กำลังถดถอย(?)

ผ้าแดงปูพาด ลาดบนโต๊ะตั้งหน้าบ้านเก่าทรงโคโลเนียลในย่านชุมชนสำคัญอีกชุมชนหนึ่งในเขตสัมพันธวงศ์ อีกหนึ่งเขตที่มีการพำนักอาศัยของชาวไทยเชื้อสายจีนหนาแน่น งานเครื่องกระดาษอันเลื่องชื่อจากชุมชนเจริญไชยถูกบรรจงเจียนจัด ประดับประดาตกแต่งโต๊ะนั้นอย่างสวยหรู มี “อาเนี่ยเต๊ง” อันใหญ่วางที่ช่วงกลางด้านในสุดของโต๊ะ “อ่วงมึ้ง” และ “กิมก่ง” แขวนประดับประดารอบโต๊ะไหว้
เบื้องหน้าปรากฏอาหารต่าง ๆ รวมไปถึง “ขนมไหว้พระจันทร์” พระเอกของงาน เป็นอีกหนึ่งภาพสวยงามต้องตาประณีตด้วยความอ่อนช้อยอ่อนหวานของอิสตรี สมดังคำกล่าวโบราณของจีนที่ว่า “男不祭月 女不祭灶” (บุรุษไม่ไหว้พระจันทร์ฉันใด อิสตรีก็มิไหว้เทพเตาฉันนั้น) สะท้อนให้เห็นว่าความงามของโต๊ะไหว้พระจันทร์ ล้วนแต่เป็นความประณีตที่มีอิสตรีเป็นผู้รังสรรค์ขึ้นมา
1
เทศกาลไหว้พระจันทร์ นับว่าเป็นอีกหนึ่งเทศกาลที่ผูกพันธ์กับคนเชื้อสายจีนมาอย่างยาวนาน ไม่เพียงแค่กับคนไทยเชื้อสายจีน หากแต่เป็นเทศกาลระดับวัฒนธรรมประชานิยมที่ติดตามคนเชื้อสายจีนไปทั่วทั้งโลก และถูกทำให้เข้าถึงได้ง่ายในระดับที่คนที่ไม่ได้มีเชื้อสายจีนก็สามารถที่จะร่วมงานและอิ่มเอมไปกับวัฒนธรรมของเทศกาลไหว้พระจันทร์ได้อย่างง่ายดาย
ที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือในส่วนของ “ขนมไหว้พระจันทร์” ที่ใครหลาย ๆ คนอาจจะเคยได้มีโอกาสรับประทานกันมาบ้าง ตลอดจนยังมีมูลค่าทางวัฒนธรรมที่ค่อนข้างสูงและสามารถเป็นเศรษฐกิจเชิงวัฒนธรรมได้เลยทีเดียว
ถึงแม้ว่าผู้คนที่เป็นผู้เฒ่าผู้แก่อาจจะยังมีความผูกพันธ์กับเทศกาลไหว้พระจันทร์อยู่ อย่างไรก็ดี เมื่อกาลเวลาผ่านไป ผู้คนรุ่นใหม่ ๆ ก็เริ่มที่จะห่างไกลจากวัฒนธรรมดั้งเดิมอย่างเทศกาลไหว้พระจันทร์มากขึ้น ซึ่งความห่างไกลนี้ไม่เพียงมีผลกระทบต่อวัฒนธรรมและประเพณีเพียงอย่างเดียว หากแต่มีผลกระทบในระดับเศรษฐกิจเชิงวัฒนธรรมที่ซึ่งเทศกาลไหว้พระจันทร์เองก็มีส่วนร่วมในเศรษฐกิจเชิงวัฒนธรรมนี้มากพอสมควร
ใน All About History สัปดาห์นี้ เราจึงอยากจะนำเสนอถึงเรื่องราวความเป็นมาของเทศกาลไหว้พระจันทร์ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงวันที่เทศกาลล้ำค่า โต๊ะไหว้น่าชม และขนมยอดฮิตนี้เริ่มที่จะเลือนหายไปตามกาลเวลากัน
⭐ เทศกาลล้ำค่า
เทศกาลไหว้พระจันทร์ หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือเทศกาลกลางสารทฤดู เป็นอีกหนึ่งเทศกาลที่ปรากฏร่วมกันในหมู่ประเทศที่มีการใช้ปฏิทินแบบจีน จัดขึ้นในช่วงกลางฤดูใบไม้ผลิ โดยมีความหลากหลายในหลายประเทศ เช่นที่ญี่ปุ่นเรียกว่าเทศกาลชมจันทร์หรือสึกิมิ ที่เวียดนามเรียกว่าเต็ดจุงทูหรือตรุษกลางสารทฤดู เป็นต้น
โดยเชื่อกันว่าเป็นเทศกาลที่มีที่มาจากการเฉลิมฉลองในช่วงวันเพ็ญของเทศกาลเก็บเกี่ยวยาวนานมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชาง อย่างไรก็ดี การกล่าวถึงเทศกาลนี้ในชื่อของเทศกาลกลางสารทฤดูเพิ่งจะมีมาในราชวงศ์โจวตะวันตก ซึ่งมีบันทึกเอาไว้ว่าเป็นเทศกาลที่จะไหว้เทวีไท้อิมแชกุน (太阴娘娘) หรือจันทรเทวีที่ปรากฏในความเชื่อของทางเต๋าและศาสนาท้องถิ่นของจีน
ไท้อิมแชกุน หรือจันทรเทวี
ธรรมเนียมการไหว้จันทรเทวีของกษัตริย์ราชวงศ์โจว น่าจะเป็นรากฐานสำคัญที่ส่งต่อความเชื่อของการไหว้พระจันทร์ในช่วงเวลากลางฤดูเก็บเกี่ยวสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ดี ในสมัยราชวงศ์โจวนั้น พิธีการไหว้จันทรเทวียังคงเป็นพระราชพิธีในราชสำนัก ก่อนที่ความนิยมไหว้จะเริ่มแพร่หลายลงมายังคนชนชั้นสูงในช่วงราชวงศ์ถัง และเผยแพร่มาสูงสามัญชนคนธรรมดาในขั้นต่อมา ซึ่งธรรมเนียมพิธีการไหว้พระจันทร์ก็ขยายใหญ่ขึ้น จากธรรมเนียมได้กลายมาเป็นเทศกาลที่จัดกันอย่างใหญ่โตในช่วงราชวงศ์ซ่งเป็นต้นมา
การไหว้พระจันทร์นี้ มีเรื่องเล่าที่ผูกโยงกับขนบและความเชื่อของชาวจีนหลายอย่าง พระจันทร์ถูกมองในฐานะของภาพแทนเพศหญิงดังคำกล่าวที่เราได้กล่าวไปในบทเกริ่นว่า “บุรุษไม่ไหว้พระจันทร์ฉันใด อิสตรีก็มิไหว้เทพเตาฉันนั้น” ความเกี่ยวข้องของผู้หญิงกับพระจันทร์นั้นก็มีหลากหลายเรื่องราว
นัยหนึ่งก็คือดวงจันทร์มีสถานะเป็นผู้หญิงมาโดยตลอดดังที่เห็นผ่านการสร้างบุคคลาธิษฐานให้ดวงจันทร์เป็นเทพีขึ้นมา แต่ทั้งนี้ก็มีอีกหนึ่งความเชื่อที่น่าสนใจก็คือในแง่ความเชื่อของชาวจ้วงซึ่งมีนิทานพื้นถิ่นเล่ากันว่าพระอาทิตย์กับพระจันทร์เป็นสามีภรรยากัน พระจันทร์เต็มดวงถูกเปรียบเปรยให้เหมือนกับลักษณะอาการของคนท้อง และเมื่อคลอดบุตรออกมาแล้วพระจันทร์นั้นก็จะพร่องเป็นเสี้ยวเป็นก่อนที่จะขยายกลับมาเป็นจันทร์เต็มดวงดังเดิมในภายหลัง
ความเชื่อของชาวจ้วงนี้น่าจะถูกหลอมรวมเข้ากับความเชื่อของชาวจีนขึ้นมา ทำให้เกิดค่านิยมดังในคำกล่าวข้างต้น เทศกาลไหว้พระจันทร์จึงเป็นเทศกาลที่ได้รับความนิยมมากในหมู่หญิงสาวชาวจีนนี่เอง
ถึงแม้ว่าการไหว้พระจันทร์แรกเริ่มนั้นเป็นการไหว้จันทรเทวีไท้อิมแชกุน แต่ทั้งนี้ ในความเชื่อของจีนก็มีพระจันทร์หลายองค์อีกต่างหากตั้งแต่ฉางอี๋ อู่กัง เฒ่าจันทรา โดยองค์ที่นิยมบูชาและถูกล่าวถึงมากที่สุดก็ต้องเป็น เทพีฉางเอ๋อซึ่งมีเรื่องราวในตำนานหลากหลายสำนวน โดยมีอยู่สำนวนหนึ่งที่ข้องเกี่ยวกับการไหว้พระจันทร์ในทางหนึ่ง
เทพีฉางเอ๋อเป็นที่รู้จักกันในฐานะคนรักของโฮวอี้ วีรบุรุษในตำนาน ซึ่งเล่าว่าปีหนึ่งในสมัยพระเจ้าเหยาได้มีพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมกัน 10 ด้วย โฮวอี้จึงได้ไปจัดการยิงพระอาทิตย์ดับถึง 9 ดวงด้วยกัน ความเก่งกาจของโฮวอี้เป็นที่ประทับใจสรรเสริญของผู้คนไปจนถึงเทวาสุรารักษ์ต่าง ๆ ซึ่งมีตนหนึ่งได้มอบน้ำอมฤตให้แก่โฮวอี้ซึ่งเมื่อได้เดิมแล้วจะบรรลุขึ้นไปยังสรวงสวรรค์
แต่ทั้งนี้โฮวอี้ไม่ปรารถนาที่จะจากฉางเอ๋อไปจึงได้ฝากน้ำอมฤตนั้นไว้กับนาง ทว่าความลับไม่มีในโลก มีศิษย์ผู้หนึ่งของโฮวอี้ทราบถึงการมีอยู่ของน้ำอมฤตนี้ ครั้นเมื่อโฮวอี้ออกไปล่าสัตว์ ศิษย์ผู้นั้นก็บุกเข้ามาขู่เข็ญบังคับให้ฉางเอ๋อมอบน้ำอมฤตให้ ทว่าฉางเอ๋อไม่ยอม เมื่อจวนตัวเธอก็ได้ดื่มน้ำอมฤตและลอยหนีขึ้นสวรรค์ไป แต่ด้วยใจที่ยังผูกพันกับโฮวอี้ เธอจึงเลือกที่จะไปสถิต ณ ดวงจันทร์ เพื่อที่จะได้คอยเฝ้ามองโฮวอี้และอยู่ด้วยกันได้
พอเมื่อโฮวอี้กลับมาและทราบเรื่องราวก็อาลัยต่อการจากลาของฉางเอ๋อ จึงได้หาอาหารต่าง ๆ มาตั้งโต๊ะนอกบ้านเสมือนว่าเป็นการบูชาและสนทนากับฉางเอ๋อ ชาวบ้านที่เห็นถึงความรักและความอาลัยของทั้งสอง จึงพากันไหว้บูชาฉางเอ๋อด้วยนับแต่นั้นเป็นต้นมา
ฉางเอ๋อ วาดโดยศิลปินภาพโปสเตอร์ อู่ เส้าอวิ๋น
เรื่องราวข้างต้นเป็นเพียงหนึ่งในตำนานของฉางเอ๋อกับโฮวอี้ ยังมีมีอีกหลายสำนวนที่เล่าต่างกันไป อาทิเช่นสำนวนหนึ่งเล่าว่าเดิมทีทั้งคู่เป็นเทพเทวดาอยู่บนสวรรค์ ทว่าการยิงพระอาทิตย์ตกไปถึง 9 ดวงทำให้ถูกเนรเทศลงมาโลกมนุษย์ ก่อนที่ต่อมาโฮวอี้จะได้รับน้ำอมฤตจากเจ้าแม่หว่างมู ทว่าโฮวอี้ถูกคนริษยาลอบสังหารเสียก่อน ด้วยความเสียใจฉางเอ๋อจึงดื่มน้ำอมฤตแต่เพียงผู้เดียวและเสด็จกลับไปประทับที่ดวงจันทร์ตราบชั่วนิรันดร์
หรือบางสำนวนก็ว่าทั้งคู่ทะเลาะกัน เพราะว่าโฮวอี้ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองและปกครองเมืองอย่างทรราชเธอจึงไปขโมยน้ำอมฤตของเขามาและดื่มขึ้นไปสวรรค์เสียเอง ก็มีเหมือนกัน
⭐ โต้ะไหว้น่าชม
เทศกาลไหว้พระจันทร์เต็มไปด้วยวัตรปฏิบัติมากมาย โดยมักจะเป็นงานกลางคืนที่ประดับประดาสวยงาม โดยการชมพระจันทร์ยามค่ำก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ได้รับความนิยมในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ รวมไปถึงการชมโคมและโต๊ะไหว้พระจันทร์ที่แต่ละบ้านก็พากันตกแต่งสวยงามราวกับการแต่งซุ้มพระแม่ทุรคาในวันดุสเสห์ราของที่วัดแขกสีลมเลย
การไหว้พระจันทร์ในหลาย ๆ ที่จะมีการตั้งโต๊ะสำหรับวางเครื่องสังเวยบูชา ซึ่งบางทีอาจจะเป็นโต๊ะธรรมดา หรือบางทีอาจจะมีการประดับประดาอย่างสวยงามด้วยโคมและเครื่องกระดาษต่าง ๆ ซึ่งชุมชนนจีนในไทยที่ยังคงอนุรักษ์ธรรมเนียมการแต่งโต๊ะไหว้พระจันทร์นี้ังคงหลงเหลืออยู่ไม่กี่แห่งเท่านั้นเองในประเทศไทย
โต๊ะไหว้พระจันทร์ ภาพโดยมูลนิธีเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์
แน่นอนว่าการตกแต่งโต๊ะไหว้พระจันทร์มีส่วนสำคัญในเศรษฐกิจ ผู้คนต่างพากับจับจ่ายใช้สอยเพื่อซื้ออาหารต่าง ๆ ตลาดจนเครื่องกระดาษเพื่อนำมาใช้ในการไหว้พระจันทร์ โดยจะขอยกตัวอย่างการจัดโต๊ะไหว้พระจันทร์ในชุมชนเจริญไชยซึ่งเคยมีการจัดโต๊ะไหว้ต่อเนื่องกันมาเพื่อรักษาและอนุรักษ์เทศกาลไหว้พระจันทร์เอาไว้
โต๊ะไหว้เท่าที่เราเคยเห็นในชุมชนเจริญไชย จะมีลักษณะเป็นโต๊ะที่ด้านในสุดประดิษฐานเครื่องกระดาษที่เรียกว่า อาเนี่ยเต๊ง (阿娘亭) อาเนี่ยเต๊งเป็นเครื่องกระดาษขนาดใหญ่ที่มีหลายรูปแบบหลายขนาด มีลักษณะเป็นเก๋งคล้ายกับพลับพลาราวกับว่าเป็นวังที่ประทับ ด้านบนมีลักษณะเป็นกลม ๆ คล้ายว่าจะเป็นการลอกแบบดวงจันทร์มาไว้ อันนี้เป็นวังของเจ้าแม่กวนอิม ของล่างของเนี่ยเต๊งจะมีลักษณะเป็นกล่องที่ดูเหมือนตู้ปลา สอดคล้องกับความเชื่อที่ว่าวังของเจ้าแม่กวนอิมอยู่กลางน้ำ
อาเนี่ยเต๊ง (阿娘亭) ที่พิพิธภัณฑ์บ้านเก่าเล่าเรื่อง ชุมชนเจริญไชย
นอกจากนี้ยังมีเครื่องกระดาษอื่น ๆ อีกที่นำมาใช้กับโต๊ะ ไม่ว่าจะเป็น กิมก่ง(金貢) อ้วงมึ้ง(旺門) โป๊ยเซียนเตี๋ย (八仙錠) ตั่วป้อเกี้ย (大寶仔) เทียงเถ่าจี๊ (天頭錢) เป็นต้น
การตั้งโต๊ะไหว้พระจันทร์จะต้องตั้งให้เสร็จเรียบร้อยก่อนที่พระจันทร์จะลอยสูงเกินขอบฟ้าขึ้นมา และจะต้องเก็บโต๊ะไหว้ก่อนพระจันทร์จะลอยเลยหัวไป โต๊ะจะตั้งหันหน้าไปยังทางทิศตะวันออก ที่พระจันทร์จะขึ้นมา บนโต๊ะก็มีพวกอาหารต่าง ๆ วางไว้ทั้งขนมอี๋ ขนมเปี๊ยะ ผลไม้ ขนมโก๋ ขนมหวานเคลือบน้ำตาล และพระเอกของงานที่ขาดไม่ได้อย่างขนม “ไหว้พระจันทร์” ด้วย
⭐ ขนมยอดฮิต
ขนมไหว้พระจันทร์ เป็นขนมที่ถูกนำมาใช้ในเทศกาลนี้โดยเฉพาะ บางร้านที่รับทำขนมอย่างจีนอาจจะมีการทำขายเฉพาะช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์เท่านั้น หากินนอกเทศกาลไม่ขายก็มี ซึ่งขนมไหว้พระจันทร์ก็มีมากมายหลายไส้หลายความหมาย
ต้นกำเนิดของขนมไหว้พระจันทร์ น่าจะมีต้นกำเนิดขึ้นมาครั้งแรกในสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งเล่ากันว่าจักรพรรดิถังไท่จงได้รับมอบขนมอย่างหนึ่งซึ่งมีผู้นำมาถวายเพื่อเป็นการฉลองและเทิดพระเกียรติที่ทรงได้รับชัยเหนือการรบกับพวกซงหนู ซึ่งก็ได้รับความแพร่หลายในสมัยราชวงศ์ถัง ก่อนที่จะเพิ่งถูกนำมาบริโภคในฐานะของขนมประจำเทศกาลไหว้พระจันทร์ราวสมัยราชวงศ์ซ่ง
อย่างไรก็ดี ขนมไหว้พระจันทร์แบบที่เรารู้จักกันทุกวันนี้ น่าจะเกิดขึ้นมาในสมัยราชวงศ์หมิง ซึ่งถูกนำไปเชื่อมโยงกับเรื่องราวที่เล่าถึงการโค่นล้มราชวงศ์หยวนซึ่งเป็นช่วงเวลาที่จักรพรรดิแห่งมองโกลอย่างกุบไลข่านสามารถยึดแผ่นดินจีนเอาไว้ได้สำเร็จและสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิในนามราชวงศ์หยวน
ขนมไหว้พระจันทร์
ภายใต้การปกครองของราชวงศ์หยวนก็มีกลุ่มชาวจีนที่ปรารถนาที่จะขับไล่ผู้ปกครองจากต่างแดนนี้ออกไป จึงได้ใช้ขนมไหว้พระจันทร์ที่ถูกทำขึ้นมาและใส่ข้อความที่บอกให้ทุกคนที่ได้รับขนมไหว้พระจันทร์นี้ให้เตรียมพร้อมในการก่อกบฎ ซึ่งก็ได้นำมาสู่การล้มล้างราชวงศ์หยวนและสถาปนาราชวงศ์หมิงขึ้นมานี่เอง
ความนิยมของขนมไหว้พระจันทร์ทำให้มันถูกใช้เป็นศูนย์กลางของเทศกาล และทำให้ชื่อของขนมไหว้พระจันทร์ ได้กลางมาเป็นอีกหนึ่งชื่อเรียกของเทศกาลนี้โดยชาวตะวันตก ภายใต้ชื่อ Mooncake festival ด้วย
ความนิยมของขนมไหว้พระจันทร์ในอดีตได้สร้างมูลค่ามากมายจากความนิยมของผู้คนที่มาจับจ่ายใช้สอย ซื้อขนมไหว้พระจันทร์ไปเป็นของฝากให้กับครอบครัวและคนที่รัก แบ่งปันกันรับประทานอย่างมีความสุขและขับเคลื่อนเศรษฐกิจในวันไหว้พระจันทร์ให้พุ่งทะยานเป็นอย่างมากในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 ทว่าด้วยปัจจัยบางประการได้ทำให้ความนิยมที่จะจับจ่ายซื้อขนมไหว้พระจันทร์ดี ๆ ราคาแพง ๆ เริ่มค่อย ๆ ถดถอยไป…
⭐ เศรษฐกิจเชิงวัฒนธรรมที่กำลังถดถอย(?)
เทศกาลไหว้พระจันทร์เคยเป็นอีกหนึ่งเทศกาลที่มียอดเงินสะพัดสูงมาก ๆ จากการจับจ่ายใช้สอยไม่แพ้กับเทศกาลตรุษจีนเลยทีเดียว เป็นอีกหนึ่งเทศกาลที่สร้างมูลค่าเศรษฐกิจเชิงวัฒนธรรมได้มากมาย ทั้งภาคการผลิตที่พากันออกแบบและผลิตสินค้าประจำเทศกาลออกมาแข่งขันกันมากมาย ภาคการบริการและการท่องเที่ยวก็เติบโตจากการที่ผู้คนพาครอบครัวไปท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดเทศกาล หรือภาคการขนส่งก็ได้รับอานิสงค์จากผู้คนที่ไม่สามารถเดินทางกลับบ้านเกิดได้ก็ใช้บริการขนส่งในการส่งของขวัญกลับไปยังบ้าน
บริษัทใหญ่ ๆ มีการแจกขนมไหว้พระจันทร์ให้กับลูกค้าหรือพนักงานทำให้เกิดการใช้จ่ายอย่างมากมาย แต่ถึงนี้ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ในแง่ของอุตสาหกรรมขนมไหว้พระจันทร์กลับมียอดขายที่ลดลงอย่างน่ากังวล สวนทางกับรายได้ในพาร์ทอื่น ๆ ของเทศกาลอย่างเห็นได้ชัด แต่ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ?
หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมขนมไหว้พระจันทร์กำลังถอยหลังก็คือแคมเปญสำคัญที่ทางรัฐบาลจีนเริ่มต้นดำเนินการขึ้นมาในช่วงปี 2012 นั่นก็คือแคมเปญต่อต้านคอร์รัปชั่นของรัฐบาลสีจิ้นผิงซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมขนมไหว้พระจันทร์ ซึ่งมีการ “มอบของขวัญ” เป็นหนึ่งในวัตรปฏิบัติที่สืบต่อกันมาในเทศกาลนี้
เมื่อเป็นเจ้าหน้าที่ราชการระดับสูง ของขวัญที่มอบให้กันก็ย่อมเป็นขนมไหว้พระจันทร์ระดับหรูหรา ทำมือด้วยความใส่ใจชิ้นต่อชิ้น และบรรจุใส่กล่องลวดลายสวยงาม อย่างไรก็ดี ด้วยความที่่เป็นของขวัญทำให้ขนมไหว้พระจันทร์หรูหราราคาแพงถูกมองในฐานะของ “สินบน” ไป ซึ่งนโยบายต่อต้านคอร์รัปชั่นนี้ได้ทำให้วัฒนธรรมกวนซี (ระบบเส้นสายและเครือข่าย) ของจีนถึงกับสั่นคลอน เพราะถูกมองว่าเป็นการทุจริตได้อย่างชัดเจน
เมื่อของหรูหราทำมืออย่างขนมไหว้พระจันทร์สวย ๆ กลายเป็นสิ่งต้องห้าม อุตสาหกรรมนี้ก็เริ่มมียอดการขายที่ลดลงไปทุกขณะ มูลค่าของขนมไหว้พระจันทร์ลดลงเนื่องจากความประณีตหายไป เหลือไว้เพียงขนมไหว้พระจันทร์ที่ถูกผลิตขึ้นจากเครื่องจักรแบบแมสโปรดักชั่นที่ไม่ได้ใช้ฝีมือใด ๆ เลย จริงอยู่ที่ว่าราคาอาจจะถูกลงและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ททว่าคุณค่าทางวัฒนธรรมของขนมไหว้พระจันทร์กลับเปลี่ยนไป อีกทั้งคนรุ่นใหม่ก็ไม่ได้ให้ความนิยมต่อขนมไหว้พระจันทร์อย่างที่คนในอดีตเป็น
การจับจ่ายซื้อขนมไหว้พระจันทร์ก็ลดลงอย่างต่อเนื่องโดยในปี 2567 ที่ผ่านมานี้ มูลค่าของขนมไหว้พระจันทร์ตกลงเรื่อย ๆ จากจำนวนผลิต 320,000 ตันในปี 2566 ลดลงเหลือ 300,000 ตัน และจำนวนเงินที่คนพึงใจที่จะจ่ายให้ขนมไหว้พระจันทร์สำหรับกินในครอบครัว ก็ลดลงจาก 80-280 หยวนในปี 2566 ลงมาอยู่ที่ 70-220 หยวนเท่านั้น ในขณะที่วัฒนธรรมการให้ขนมไหว้พระจันทร์ราคาแพงเป็นของขวัญก็หายไปด้วย
ที่มา: China Association of Bakery and Confectionery Industry จาก South China Morning Post
“เศรษฐกิจเชิงวัฒนธรรมที่กำลังถดถอย” อันที่จริงแล้วก็ฟังดูเป็นวาทกรรมที่ค่อนข้างรุนแรงเกินไปเมื่อหันมามองภาพจริง เพราะสิ่งที่ถดถอยในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ไม่ใช่เศรษฐกิจในภาพใหญ่ของเทศกาล หากแต่เป็นเพียงแค่ส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่ง
แต่ทว่าส่วนเล็ก ๆ นี้ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เทศกาลไหว้พระจันทร์เป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์จริง ๆ ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าสงสัยว่าเทศกาลไหว้พระจันทร์จะเปลี่ยนไปอย่างไรในอนาคตหากว่าขนมไหว้พระจันทร์ได้เสื่อมความนิยมไปเรื่อย ๆ แบบนี้ และเศรษฐกิจเชิงวัฒนธรรมของเทศกาลไหว้พระจันทร์จะไปอยู่ในจุดที่ถดถอยอย่างรุนแรงในอนาคตหรือไม่ ซึ่งเราก็ได้เพียงแค่จับตาดูความเป็นไปของเศรษฐกิจเทศกาลไหว้พระจันทร์ต่อไป
เรื่อง : ณัฐรุจา งาตา
ภาพประกอบ : บริษัท ก่อการดี จำกัด
════════════════
Bnomics - Bangkok Bank Economics
'Be an Economist for Everyone'
วิเคราะห์ เจาะทุกประเด็นเศรษฐกิจ ให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ
════════════════
#ประวัติศาสตร์ #เศรษฐกิจ #จีน #วันไหว้พระจันทร์ #ไหว้พระจันทร์ #ข่าวต่างประเทศ #Bnomics #BBL #BangkokBank #ธนาคารกรุงเทพ
โฆษณา