Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
สุขภาพดีไม่มีในขวด
•
ติดตาม
4 ต.ค. เวลา 02:54 • สุขภาพ
Acyclovir คืออะไร?
ยาต้านไวรัสที่ใช้บ่อยในการรักษา “เริม” และ “งูสวัด”
Acyclovir (อะไซโคลเวียร์) เป็นยาต้านไวรัสในกลุ่ม nucleoside analogue ซึ่งต้องอาศัยเอนไซม์ของไวรัสเริมในการเปลี่ยนให้อยู่ในรูปที่ออกฤทธิ์ภายในเซลล์ ตัวยาที่ออกฤทธิ์จะยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ viral DNA polymerase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่จำเป็นต่อการจำลองสารพันธุกรรมของไวรัส ส่งผลให้กระบวนการแบ่งตัวของไวรัสในเซลล์ที่ติดเชื้อถูกยับยั้งอย่างจำเพาะเจาะจง จึงช่วยหยุดวงจรการเพิ่มจำนวนของไวรัสได้
อย่างไรก็ตาม acyclovir ไม่สามารถกำจัดไวรัสที่อยู่ในระยะแฝง (latent phase) ภายในร่างกายได้อย่างถาวร จึงไม่ใช่การรักษาที่ทำให้หายขาดจากการติดเชื้อ
Acyclovir ใช้รักษาอะไรได้บ้าง?
1. เริมที่อวัยวะเพศและเริมที่ริมฝีปาก (Herpes simplex virus: HSV-1, HSV-2)
สามารถใช้รักษาทั้งในกรณีการติดเชื้อครั้งแรก, การกลับเป็นซ้ำแบบเป็น ๆ หาย ๆ, และการใช้ระยะยาวเพื่อกดการเพิ่มจำนวนของไวรัส ซึ่งมีประโยชน์ในการลดความถี่ของการกำเริบ และลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น โดยเฉพาะในคู่ที่มีความเสี่ยงสูง
แนวทางของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐอเมริกา (CDC) ระบุชัดเจนว่า ยาทั้งสามชนิด ได้แก่ acyclovir, valacyclovir และ famciclovir ล้วนให้ผลการรักษาทางคลินิกที่ดี และในกรณีของการรักษาแบบเฉียบพลัน หากเริ่มยาเร็ว (early initiation) ประสิทธิภาพของทั้งสามชนิดใกล้เคียงกัน
2. งูสวัด (Herpes zoster; VZV)
acyclovir มีบทบาทในการเร่งการแห้งและยุบของตุ่มน้ำ, ลดการเกิดตุ่มใหม่ และช่วยลดระยะเวลาของอาการปวดเฉียบพลัน
ผลลัพธ์ทางคลินิกจะชัดเจนที่สุดหากเริ่มยาภายใน 72 ชั่วโมงแรก หลังเริ่มมีอาการผื่น
3. อีสุกอีใสในกลุ่มเสี่ยง (Varicella; VZV)
พิจารณาใช้ในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น วัยรุ่น, ผู้ใหญ่, หรือผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องบางกลุ่ม โดยควรเริ่มยา ภายใน 24 ชั่วโมงแรก หลังผื่นขึ้น เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด
> ข้อควรจำ: ยาต้านไวรัส เช่น acyclovir ช่วยควบคุมอาการ ลดความรุนแรงของโรค และลดโอกาสในการแพร่เชื้อ
> แต่ไม่สามารถกำจัดไวรัสที่แฝงตัวอยู่ในร่างกายได้ เมื่อหยุดยา ผู้ป่วยอาจกลับมามีอาการกำเริบได้อีก
ควรเริ่มใช้ยา Acyclovir เมื่อใดจึงจะได้ประโยชน์สูงสุด?
1. เริมที่อวัยวะเพศ / เริมที่ริมฝีปาก (ขณะกำเริบ)
ควรเริ่มยา ภายใน 24 ชั่วโมงแรกของการเกิดแผล หรือทันทีเมื่อเริ่มมีอาการเตือน เช่น คัน ยุบยิบ หรือรู้สึกตึงบริเวณที่จะเกิดแผล เพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น และลดระยะเวลาของอาการ
2. งูสวัด (Herpes zoster)
ควรเริ่มยาภายใน 72 ชั่วโมงแรก หลังเริ่มมีผื่นหรืออาการปวด เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีที่สุด
หากเกินช่วงเวลาดังกล่าว แต่ยังคงมีตุ่มใหม่เกิดขึ้นหรือมีอาการปวดรุนแรง แพทย์อาจพิจารณาให้การรักษาตามดุลยพินิจ
3. อีสุกอีใสในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
เช่น วัยรุ่น ผู้ใหญ่ หรือผู้มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องบางกลุ่ม ควรเริ่มยา ภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังเริ่มมีผื่น เพื่อให้เห็นผลการรักษาที่ชัดเจน
ขนาดยา Acyclovir ที่ใช้บ่อย
> 🟡 หมายเหตุสำคัญ : ขนาดยาจริงอาจแตกต่างกันตามอายุ น้ำหนัก โรคร่วม และการทำงานของไต
> ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ
✅ 1. เริมที่อวัยวะเพศครั้งแรก (ในผู้ใหญ่)
- Acyclovir 400 มก. วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 7–10 วัน
- หรืออาจใช้สูตร 200 มก. วันละ 5 ครั้ง แต่ต้องรับประทานถี่มากกว่า
- หากแผลยังไม่หายดี สามารถขยายระยะเวลาเกิน 10 วันได้ตามดุลยพินิจของแพทย์
✅ 2. เริมกำเริบแบบเฉียบพลัน (Episodic treatment)
- เริ่มยาเร็วทันทีที่เริ่มมีอาการเตือน เช่น รู้สึกคัน ตึง หรือแสบบริเวณเดิม
- ตัวอย่างขนาดยา:
* Acyclovir 800 มก. วันละ 2 ครั้ง นาน 5 วัน
* หรือ 800 มก. วันละ 3 ครั้ง นาน 2 วัน
✅ 3. การกดไวรัสเพื่อลดการกำเริบ (Suppressive therapy)
* Acyclovir 400 มก. วันละ 2 ครั้ง
* แนะนำให้ทบทวนความจำเป็นในการใช้อย่างน้อยปีละครั้ง
* สามารถลดความถี่ของการกำเริบได้ประมาณ 70–80%
✅ 4. งูสวัด (Herpes zoster)
* Acyclovir 800 มก. วันละ 5 ครั้ง เป็นเวลา 7–10 วัน
* ให้ผลดีที่สุดหากเริ่มภายใน 72 ชั่วโมงแรก หลังเริ่มมีผื่น
✅ 5. อีสุกอีใส (Varicella ในผู้ใหญ่ หรือเด็กที่มีความเสี่ยง)
- ผู้ใหญ่ / เด็กที่น้ำหนัก >40 กก.
* 800 มก. วันละ 4 ครั้ง นาน 5 วัน
- เด็ก ≥2 ปีที่น้ำหนัก ≤40 กก.
* 20 มก./กก./ครั้ง วันละ 4 ครั้ง นาน 5 วัน
* ควรเริ่มยาภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังเริ่มมีผื่น
คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับการใช้ยา Acyclovir
1) การใช้ยา Acyclovir จะรักษาให้หายขาดจากเริมได้หรือไม่?
ไม่ได้หายขาด — ยาจะช่วยลดความรุนแรงของอาการ, ทำให้ระยะเวลาของโรคสั้นลง, และลดความถี่ในการกลับมาเป็นซ้ำ
แต่ไม่สามารถกำจัดไวรัสที่แฝงอยู่ในร่างกายได้ถาวร เมื่อหยุดยา การกำเริบของโรคยังสามารถเกิดขึ้นได้อีก
2) ควรเลือกใช้ยา acyclovir, valacyclovir หรือ famciclovir?
ทั้งสามชนิดมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคเริมแบบเฉียบพลันใกล้เคียงกัน
ความแตกต่างหลักอยู่ที่:
* ความถี่ในการรับประทาน
* ราคาของยา
แพทย์จะพิจารณาเลือกใช้ตามบริบทของผู้ป่วยแต่ละราย เช่น ความสะดวกในการใช้ยา หรือข้อจำกัดด้านงบประมาณ
3) ใช้ยาครีมทาแทนยารับประทานได้หรือไม่?
* ไม่แนะนำให้ใช้ครีมเพียงอย่างเดียว ในการรักษาเริมบริเวณอวัยวะเพศ เนื่องจากประสิทธิภาพค่อนข้างต่ำ
* แนวทางการรักษาแนะนำให้ใช้ยารับประทานเป็นหลัก
* อย่างไรก็ตามครีม acyclovir 5% สามารถใช้ได้ในกรณีของเริมที่ริมฝีปาก โดยทา วันละ 5 ครั้ง เป็นเวลา 4 วัน และควรเริ่มทาให้เร็วที่สุดตั้งแต่เริ่มมีอาการ
4) หากใช้ยาอย่างถูกต้องแล้วแผลยังไม่ดีขึ้น หรือมีอาการกำเริบบ่อยมาก แสดงว่าดื้อยาหรือไม่?
* ในกรณีที่มีการตอบสนองต่อยาไม่ดี หรือเกิดการกำเริบบ่อยผิดปกติ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาจพบภาวะดื้อยา acyclovir ได้
* ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาส่งตรวจเพิ่มเติม และอาจจำเป็นต้องใช้ยาทางเลือก เช่น foscarnet ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย