4 ต.ค. เวลา 03:26 • ไลฟ์สไตล์

🤝 Gen Z กำลัง "ต่อรองสัญญา" ฉบับใหม่

เมื่อโลกการทำงานไม่ใช่แค่เรื่อง "ขยัน" หรือ "ขี้เกียจ"
====
💥 ความย้อนแย้งที่น่าสับสนของคนรุ่นใหม่
* หลายปีที่ผ่านมา คนทำงานรุ่นพ่อแม่หรือหัวหน้าในองค์กรใหญ่ๆ มักมองว่า Gen Z คือกลุ่มคนที่ “เลือกงาน” มากกว่า “ทำงาน” แต่ข้อมูลล่าสุดกลับสะท้อนภาพที่ซับซ้อนและน่าคิดมากกว่านั้น
* ตัวอย่างเช่น The Guardian รายงานว่า “แม้ Gen Z ส่วนใหญ่จะชื่นชอบการทำงานแบบ Remote แต่กว่า 45% รู้สึกโดดเดี่ยวและต้องการกลับไปเจอเพื่อนร่วมงานในออฟฟิศ ทว่าเมื่อองค์กรบังคับให้กลับเข้าออฟฟิศเต็มรูปแบบ พวกเขากลับแสดงการต่อต้านผ่านพฤติกรรมที่เรียกว่า Taskmasking” หรือ “ทำทีว่ายุ่ง เปิดหน้าจอหลายแท็บ แต่จริงๆ แล้วกำลัง disconnect จากงาน”
คำถามคือ ตกลงแล้วพวกเขาต้องการอะไรกันแน่?
* ความย้อนแย้งเหล่านี้ไม่ใช่ความสับสน แต่คือการ “ต่อรองสัญญาการทำงานฉบับใหม่” ที่ Gen Z ไม่ยอมเดินตามกติกาเก่าๆ แบบที่ Baby Boomers หรือ Gen X/Y เคยยึดถืออีกต่อไป
====
📜 ข้อเรียกร้องหลักใน “สัญญาฉบับใหม่”
ข้อมูลจาก Deloitte (2025), Forbes และรายงานวิจัยระดับโลก สรุปได้ว่า Gen Z มีข้อเรียกร้องสำคัญ 4 ประการต่อองค์กร
1. ความยืดหยุ่นพร้อมคอมมูนิตี้ (Flexibility with Community)
* พวกเขาไม่เอา Remote 100% หรือ Office 100% แต่ต้องการ “สมดุลย์” ที่ให้เลือกสถานที่และเวลาทำงานเองได้ ขณะเดียวกันก็อยากมีพื้นที่ที่รู้สึกว่าได้เชื่อมโยงกับเพื่อนร่วมงานจริงๆ
* ยกตัวอย่าง เช่น พื้นที่ Co-working Space หรือการจัด Team Day ที่ไม่ใช่แค่บังคับมาออฟฟิศ แต่สร้างกิจกรรมที่ทำให้การมาพบเจอ “คุ้มค่า” และเกิดการแลกเปลี่ยนจริงๆ
2. Work-Life Balance ที่จับต้องได้
* Gen Z ปฏิเสธ Hustle Culture อย่างสิ้นเชิง ข้อมูลจาก Deloitte Global Gen Z and Millennial Survey 2025 ระบุว่า “94% ของ Gen Z ให้ความสำคัญกับ Work-Life Balance มากกว่าการไต่เต้าในตำแหน่ง พวกเขาพร้อมทำงานหนัก แต่ไม่ยอมแลกสุขภาพหรือความสัมพันธ์ส่วนตัวทั้งหมดกับงาน”
* ยกตัวอย่างเช่น พนักงานรุ่นใหม่ยินดีอยู่ดึกเพื่อปิดโปรเจกต์สำคัญ แต่ก็จะใช้วันถัดไปพักฟื้นและองค์กรต้องเคารพการพักผ่อนนั้นด้วยเช่นกัน
3. ความมั่นคงพร้อมความหมาย (Stability with Meaning)
* ไม่จริงที่ว่า Gen Z เปลี่ยนงานเพราะขี้เบื่อ แต่พวกเขาจะยอมภักดีกับองค์กรที่มีคุณค่าและเป้าหมายตรงกับตัวเอง
* “งานที่ไม่มีความหมาย = ไม่มีแรงจูงใจให้อยู่”
* ยกตัวอย่าง งานที่เชื่อมโยงกับ ESG หรือโครงการที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม ทำให้พนักงานรุ่นใหม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ใหญ่กว่า
4. เทคโนโลยีพร้อมความโปร่งใสและการดูแล
* จากรายงาน Forbes (2025) คนรุ่นนี้ต้องการให้องค์กรใช้เทคโนโลยีใหม่เพื่อช่วยงานจริง ไม่ใช่แค่สร้างภาพ เช่น ใช้ AI มาลดงานซ้ำซ้อน ทำให้ทีมได้โฟกัสกับงานเชิงกลยุทธ์มากขึ้น
* พร้อมกันนั้นยังต้องการความโปร่งใสด้านข้อมูล เช่น การสื่อสารนโยบายชัดเจน และการสนับสนุนสุขภาพจิตอย่างจริงจัง เช่น การมีสายด่วนปรึกษา หรือวันหยุดเพื่อการดูแลสุขภาพใจ เป็นต้น
====
🌪️ เบื้องหลังข้อเรียกร้องแบบ Perfect Storm?
ทัศนคติ Gen Z ไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่มาจากการเผชิญพายุ 3 ลูกใหญ่
1. วิกฤตเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำ
* พวกเขาโตมาในโลกที่คำมั่นว่า “ทำงานหนักแล้วจะสำเร็จ” ล้มเหลวลง
* เห็นคนรุ่นก่อนถูก Layoff แม้ทุ่มเทอย่างเต็มที่ พวกเขาจึงตั้งคำถามกับคำว่า “ความภักดี”
2. การปฏิวัติของ AI
* AI เข้ามาเปลี่ยนกติกาเกมงาน ทุกทักษะเสี่ยงถูกแทนที่
* เส้นทางอาชีพแบบเส้นตรงไม่มีจริงอีกต่อไป การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) จึงกลายเป็นทางรอดเดียว
3. การล่มสลายของ Hustle Culture
* คนรุ่นนี้เห็นรุ่น Millennial เสียสุขภาพและ Burnout จากการทำงานหนักเกินไป จึงเลือกไม่เดินตามเส้นทางนั้นอีกต่อไป
====
✨ คนรุ่นใหม่ไม่ใช่ “ปัญหา” แต่คือ “กระจก”
แทนที่จะมอง Gen Z ว่าเป็น “ภาระ” องค์กรควรใช้พวกเขาเป็น “กระจก” ที่สะท้อนสิ่งล้าสมัยในวัฒนธรรมองค์กร เช่น ระบบการประเมินที่วัดชั่วโมงมากกว่าคุณค่า หรือการบริหารแบบไม่โปร่งใส
“องค์กรที่พยายามควบคุม Gen Z จะสูญเสียคนเก่งไปตลอดกาล”
”องค์กรที่เปิดใจเรียนรู้จาก Gen Z จะกลายเป็นผู้ชนะในสงครามแย่งชิงคนเก่ง และอยู่รอดในทศวรรษหน้า”
“คนรุ่นใหม่ไม่ได้เรียกร้องเพราะขี้เกียจ แต่เพราะพวกเขาเห็นโลกความจริงที่เปลี่ยนไป และเลือกจะไม่ประนีประนอมกับระบบที่ไม่ยั่งยืน”
====
🎯 บทเรียนสำหรับองค์กร
1. ออกแบบ Hybrid Work ที่แท้จริง
* ไม่ใช่แค่บังคับเข้าออฟฟิศ 3-4 วันต่อสัปดาห์โดยไม่มีเหตุผล
* แต่คือการสร้างพื้นที่ที่ดึงดูดคนให้เข้ามา เพราะมีคุณค่าที่ออนไลน์ทดแทนไม่ได้ เช่น พื้นที่ทำงานร่วมที่กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์หรือกิจกรรมแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นเฉพาะที่ออฟฟิศ
2. เลิกโรแมนติไซส์การทำงานหนัก
* การโอ้อวดว่า “ทำงานจนดึกทุกวัน” ไม่ได้ทำให้คนรุ่นใหม่เคารพ ตรงกันข้ามมันสะท้อนถึงการจัดการงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ
* ตัวอย่างเช่น หลายบริษัทรุ่นใหม่ๆ “เริ่มเน้นผลลัพธ์มากกว่าชั่วโมงการทำงาน”
3. สร้างวัฒนธรรม Meaningful Work
* ผูกพันธกิจองค์กรกับปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม ให้พนักงานรู้ว่างานของเขามีผลกระทบจริง
* เช่น โครงการลดคาร์บอน หรือ CSR ที่ไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์ แต่มีผลลัพธ์วัดได้ เป็นต้น
4. ใช้เทคโนโลยีเพื่อ Empower ไม่ใช่ Control
* Gen Z ยอมรับการใช้ AI หรือระบบดิจิทัลถ้ามันช่วยให้งานดีขึ้น เช่น ใช้ระบบอัตโนมัติในการจัดการงานเอกสาร ลดเวลาที่เสียไป
* “แต่จะต่อต้านทันทีหากใช้เทคโนโลยีเพื่อจับผิดหรือสอดส่องพนักงาน”
====
🔑 ดังนั้น Gen Z ไม่ได้ทำให้องค์กรวุ่นวาย แต่กำลังเขียนสัญญาฉบับใหม่ที่ท้าทายให้องค์กรคิดใหม่ ทำใหม่
โลกการทำงานในอนาคตจะไม่วัดกันที่ “ใครขยันที่สุด” แต่ที่ “ใครออกแบบระบบที่ยั่งยืนและให้คุณค่ามนุษย์มากที่สุด”
องค์กรที่พร้อมฟังและปรับตัว จะกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดคนเก่งรุ่นใหม่ และสร้างทีมที่มีพลังสร้างสรรค์พร้อมขับเคลื่อนอนาคต
====
📚 แหล่งอ้างอิง
* The Guardian. (2025). Back to the office! Why gen Z has had enough of working from home. https://www.theguardian.com/money/2025/aug/25/back-to-office-gen-z-enough-working-from-home 
* Deloitte. (2025). 2025 Gen Z and Millennial Survey. https://www.deloitte.com/global/en/issues/work/genz-millennial-survey.html
#วันละเรื่องสองเรื่อง #GenZ #FutureOfWork #WorkLifeBalance #HustleCulture #CorporateCulture #Leadership #TheNewContract
โฆษณา