4 ต.ค. เวลา 05:23 • ความคิดเห็น

ช่างตัดผมที่ดีที่สุดในโลก

พี่สุรชัย พุฒิกุลางกูร illustrator/digital artist มือหนึ่งของโลกติดกันมาสิบเอ็ดปี เก็บรางวัลจากงานโฆษณาระดับทอปมาเป็นพันๆรางวัล เป็นผู้ที่คนไทยยังไม่ได้รู้จักในวงกว้าง แต่เป็นกระบี่มือหนึ่งที่ได้รับการยอมรับในวงการโฆษณาทั้งไทยและเทศเป็นอย่างมาก
พี่สุรชัยทำงานที่เป็นตำนานในวงการโฆษณาอยู่หลายชิ้น เช่นงานของ HBO game of thrones เป็นบิลบอร์ดที่ timesquare รวมถึงงาน print ad อันดับหนึ่งของโลกอย่าง samsonite heaven&hell
ปัจจุบันในวัยหกสิบ พี่สุรชัยก็ยังทำงานล้ำๆ งานระดับสุดยอดออกมาอย่างต่อเนื่อง
เหตุที่ทำให้พี่สุรชัยเป็นมือหนึ่งระดับโลกได้นั้นคงมีหลายเหตุ ทั้งความเก่ง ทักษะในการทำงาน ฯลฯ แต่คนที่ทำงานกับพี่สุรชัยจะรู้ว่าหัวใจหลักๆที่ทำให้พี่สุรชัยโดดเด่นกว่าคนอื่นก็คือความใส่ใจในรายละเอียดแบบเรียกได้ว่าบ้าคลั่ง ความพยายาม “ทำเกิน” ไว้ก่อน
ความอยากที่จะทำให้มากกว่าแค่ทำงานให้เสร็จตามมาตรฐาน แต่อยากทำให้ลูกค้ารักและประทับใจในระดับที่เรียกว่า “ว้าว” เกินความคาดหวังไปหลายระดับ ทำให้เกิดการบอกต่อจนทั่ววงการ จนลูกค้าดีๆไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลกต้องตามตัวพี่สุรชัยไปทำงานให้ทั้งสิ้น
1
ผมถามพี่สุรชัยเรื่องทำเกิน พี่สุรชัยขอแก้ว่าจริงๆแล้วทำพอดี แต่คนอื่นทำน้อยไปต่างหาก …
ถามว่าคุณสมบัติแบบนี้พี่สุรชัยได้มาจากไหน
พี่สุรชัยเล่าที่ HOW Club ไว้ว่า พี่สุรชัยเชื่อถึงความเชื่อมโยงของความคิดในวัยเด็ก เมื่อถูกปลูกฝังอะไรในตอนนั้นแล้ว มันจะส่งผลและมีอิทธิพลต่อความคิดในการทำงานของเราอย่างมาก
พี่สุรชัยเล่าถึงเรื่องตอนมัธยมที่ต้องตัดผมสั้นให้ถูกระเบียบโรงเรียน เด็กๆส่วนใหญ่กลัวถูกทำโทษแต่ก็ไม่อยากตัดผมทรงนักเรียนหัวเขียวๆ ก็พยายามหาทางออกที่ให้ผมยาวดูดีที่สุดเท่าที่จะได้ตามกฎ
วันหนึ่งพี่สุรชัยเห็นเพื่อนคนหนึ่งตัดผมมาแล้วดูยาวพอดีๆ อยู่ระหว่างรองทรงกับทรงนักเรียนและไม่ผิดกฎระเบียบแน่ๆ ช่างดูหล่อและดูดีเหลือเกิน พี่สุรชัยเลยไปที่ร้านตัดผมด้วยความฝันของเด็กที่หน้าตาก็ไม่ค่อยดีแล้วแต่แค่อยากมีทรงผมที่พอใช้ได้ไปอวดสาวบ้าง
พอไปถึงก็พยายามอธิบายช่างตัดผมว่าอยากได้แบบไหน ไม่ใช่รองทรง แต่ก็ไม่ใช่ทรงนักเรียน แต่สั้นพอดีๆ ไม่หัวเขียว พอเริ่มตัดพี่สุรชัยก็พยายามบอกช่างว่า ตรงนี้ยาวไป ตรงนี้โอเค พอบอกไปเรื่อยๆ พี่สุรชัยเริ่มสังเกตุหน้าที่เริ่มหงิกของช่างที่เริ่มรำคาญกับความจุกจิกของเด็กคนนั้น เริ่มไถแรงขึ้นให้จบเร็วไป พี่สุรชัยก็ได้แต่นั่งตัวแข็งรอจนจบ
พอจบแล้ว ดูในกระจก พี่สุรชัยก็ค่อยๆเดินน้ำตาไหลพร้อมด้วยความเสียใจพร้อมผมทรงนักเรียนหัวเขียวสั้นกุดดูไม่ได้ออกมา
ในวันนั้น พี่สุรชัยตั้งคำถามด้วยความเจ็บใจว่า ในโลกนี้มันจะมีช่างตัดผมที่เข้าใจลูกค้าบ้างหรือไม่
จะมีช่างตัดผมที่ใส่ใจพอที่จะเข้าใจความฝันยิ่งใหญ่ของเด็กนักเรียนคนหนึ่งที่แค่อยากมีทรงผมที่ดูดีแต่ไม่ผิดกฏ แล้วพยายามทำให้ลูกค้าเล็กๆถูกใจและดีใจ
จะมีช่างตัดผมแบบนั้นอยู่รึเปล่า
หลังจากนั้นพี่สุรชัยก็เลยตั้งใจว่าไม่ว่าจะทำงานอะไรก็ตาม พี่สุรชัยจะเป็นช่างตัดผมที่ “ดีที่สุดในโลก” ให้ได้ จะไม่ให้ลูกค้าผิดหวังหรือทำงานแค่พอผ่านเหมือนช่างตัดผมคนนั้นอีก
1
งานทุกชิ้นที่ผ่านมือพี่สุรชัย ก็ทำอยู่บนแนวความคิดนี้ พยายามตัด “ผม” ทุกหัวให้ลูกค้าดูหล่อที่สุด ไม่ว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ไม่ว่าต้องอดทนแก้ไขมากเท่าไหร่ ยังไงก็ไม่เลิกถ้าลูกค้าไม่ชอบใจ
ความตั้งใจนี้ทำให้พี่สุรชัยต่างจากคู่แข่งฝีมือดีคนอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน ต่างจนไปถึงมือหนึ่งของโลก…
วิธีคิดของพี่สุรชัยเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของ growth mindset ที่ดีมากๆ เพราะในชีวิตเราทุกคนคงจะเจอและไม่ชอบใจ “ช่างตัดผมห่วยๆ” ทำเอาแค่พอผ่าน ไม่สนใจความรู้สึกลูกค้าอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นร้านข้าวมันไก่ที่ไม่อร่อยขายแพงๆ โรงแรมที่เก็บค่าโน่นนี่จุกจิก ผู้รับเหมาบ้านที่รับปากไม่เคยทำได้ หัวหน้างานที่เลวร้าย นักการเมืองเฮงซวย ร้านขายของพูดจาไม่ดี ฯลฯ
ฟังเรื่องพี่สุรชัยแล้ว ทำให้ได้คิดว่า ในเรื่องไม่ดีไม่น่าพอใจเหล่านั้น เราอาจจะไม่สามารถเปลี่ยนช่างตัดผมห่วยๆที่เราเจอได้ แต่เราสามารถเอาความไม่พอใจเหล่านั้นมาเป็นพลังในการทำงานในวิชาชีพของเรา เข้าใจความเจ็บปวดในมุมลูกค้า
หรือแม้แต่เมื่อเรามีโอกาสเป็นหัวหน้า เราก็สามารถตั้งใจที่จะเป็นหัวหน้าที่ดีได้
แทนที่จะโกรธแล้วเสียพลังงานไปน่าลองเอาเชื้อเพลิงแห่งความโกรธ ความไม่พอใจ ความอยากเปลี่ยนแปลงมาเป็นพลังบวกให้ตัวเอง เป็นช่างตัดผมที่ดีที่สุดในโลกอย่างพี่สุรชัยกันก็อาจจะดีกว่าโมโหไปฟรีๆนะครับ…
โฆษณา