Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ร้อยเรื่องหลากมุมกับ ภก.ปราโมทย์
•
ติดตาม
วันนี้ เวลา 07:01 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
ยา 5 ชนิด ที่มีที่มาสุดแปลก
มนุษย์นั้นสู้รบปรบมือกับโรคร้ายมานับตั้งแต่ถือกำเนิดมนุษย์มาบนโลกใบนี้ ความพยายามเสาะแสวงหายามาเพื่อรักษาพยาบาลจนดำเนินมาตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
จนกระทั่งการปฏิวัติอุตสาหกรรม ยาเคมีในแบบที่เรารู้จักกันทุกวันนี้ จึงเริ่มถูกคิดค้นและใช้ในวงกว้างมากขึ้น ซึ่งจำนวนมาก ก็มาจากภูมิปัญญาดั้งเดิม ที่มีอยู่แล้วในอดีต
แม้เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ จะสามารถสังเคราะห์โครงสร้างทางยา เพื่อทดแทนการใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ที่ไปที่มาของยาบางชนิดก็มีความเฉพาะตัว จนน่าหยิบมาพูดคุยกัน
1. ยากดภูมิฯที่ได้จากเชื้อรา : Cyclosporine A
ยาจากเชื้อราอาจฟังดูไม่แปลก แต่การค้นพบ Cyclosporine A (CsA) ซึ่งเป็นยาที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นการค้นพบครั้งสำคัญนับตั้งแต่การค้นพบยาเพนิซิลิน ซึ่งแยกได้จากเชื้อราในดินชื่อ Tolypocladium inflatum ซึ่ง Cyclosporine A ถูกระบุว่าเป็นสารที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อรา แต่ต่อมาพบว่ามีคุณสมบัติในการยับยั้งการตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน
Cyclosporine A ป็นยากดภูมิคุ้มกันที่ปฏิวัติวงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะมันออกฤทธิ์แบบจำเพาะเจาะจงในการยับยั้งภูมิคุ้มกันที่เกี่ยวข้องกับเซลล์ T (T-cell immunity). กลไกหลักคือ CsA จะยับยั้ง Calcineurin ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่จำเป็นต่อการส่งสัญญาณที่กระตุ้นการทำงานและการเพิ่มจำนวนของ T-lymphocytes
CsA ได้รับการอนุมัติในปี 1983 และมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มอัตราความสำเร็จของการปลูกถ่ายอวัยวะ (เช่น ไต หัวใจ ตับ) ได้สูงถึง 70-80% ในช่วงปีแรก. นอกจากนี้ยังใช้รักษาโรคภูมิต้านตนเองหลายชนิด เช่น โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) และโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis)
2. ยามะเร็งจากเปลืองต้นไม้: Paclitaxel
บ่อยครั้งที่ยามะเร็งมักมาจากอะไรแปลกๆ ที่เราคาดไม่ถึง Paclitaxel ก็เป็นหนึ่งในนั้น Paclitaxel ซึ่งรู้จักกันในชื่อการค้า Taxol เป็นยาเคมีบำบัดที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาโรคมะเร็งหลายชนิด. การค้นพบยานี้เริ่มต้นขึ้นในปี 1962 เมื่อมีการเก็บตัวอย่างจากเปลือกของต้นยูแปซิฟิก (Taxus brevifolia) ในรัฐวอชิงตัน
ภายใต้โครงการคัดกรองสารต้านมะเร็งของ National Cancer Institute (NCI). สารออกฤทธิ์ถูกแยกและระบุโครงสร้างได้ในปี 1971 โดย Mansukh Wani และ Monroe Wall. Paclitaxel เป็นโมเลกุล Tetracyclic Diterpenoid ที่มีโครงสร้าง Taxane ที่มีความซับซ้อนสูง
Paclitaxel มีกลไกการออกฤทธิ์ที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ในกลุ่มยาเคมีบำบัด โดยมันจะทำให้ Microtubules (โครงสร้างสำคัญในการแบ่งเซลล์) มีความเสถียรเกินไป (Stabilizes Microtubules) ซึ่งเป็นการขัดขวางการทำงานตามปกติของโครงสร้างเหล่านี้ ส่งผลให้เซลล์มะเร็งถูกยับยั้งการแบ่งตัว (Mitotic arrest) และเกิดการตายของเซลล์ในที่สุด
ความต้องการ Paclitaxel เพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่เกิดวิกฤตการณ์ด้านอุปทานอย่างรุนแรงเนื่องจากข้อจำกัดของแหล่งกำเนิด. เปลือกต้นยูแปซิฟิกให้ผลผลิต Paclitaxel ต่ำมาก เพียงประมาณ 0.0004% โดยน้ำหนักแห้ง และการเก็บเกี่ยวเปลือกเป็นการฆ่าต้นไม้ซึ่งเติบโตช้ามาก (ใช้เวลา 200 ปีในการเติบโตเต็มที่)
3. ยามะเร็งจากดอกไม้ทะเล: Cytarabine (Ara-C)
ถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คงต้องบอกว่าฟองน้ำทะเล สิ่งมีชีวิตในทะเล โดยเฉพาะสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น ฟองน้ำทะเล (Marine sponges) ได้รับความสนใจอย่างมากในการค้นพบยา. เนื่องจากฟองน้ำเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่กับที่ (Immobile) พวกมันจึงต้องอาศัยกลไกการป้องกันทางเคมีที่ซับซ้อนเพื่อป้องกันตัวเองจากการล่าและจากการติดเชื้อไวรัส/จุลินทรีย์
ในช่วงทศวรรษ 1950s นักวิทยาศาสตร์ Bergmann ได้ค้นพบนิวคลีโอไซด์ที่ไม่ปกติ (Abnormal Nucleosides) สองชนิด ได้แก่ Spongothymidine และ Spongouridine จากฟองน้ำทะเล Tectitethya crypta. โครงสร้างเหล่านี้คล้ายกับหน่วยสร้าง DNA (Nucleosides: Cytidine, Thymidine, Guanosine, Adenosine) แต่มีความแตกต่างที่สำคัญคือมีการเปลี่ยนโครงสร้างน้ำตาล
นักวิทยาศาสตร์ได้ใช้การเปลี่ยนแปลงทางเคมีตามธรรมชาติเล็กน้อยนี้เป็นแม่แบบสำหรับการสังเคราะห์ยา Cytarabine (1- β-D-Arabinofuranosylcytosine) หรือ Ara-C Cytarabine ทำงานเป็น Antimetabolite โดยเลียนแบบ Cytidine เมื่อถูกนำเข้าสู่เซลล์มะเร็ง จะถูกฟอสโฟรีเลตและรวมเข้ากับสาย DNA ในขณะที่เซลล์กำลังจำลองตัวเอง
แต่เนื่องจาก Cytarabine มีโครงสร้างน้ำตาล Arabinose จึงทำให้การสร้างสาย DNA สิ้นสุดลง (DNA chain termination) และยับยั้งเอนไซม์ DNA Polymerase ทำให้ไม่เกิดการสังเคราะห์ DNA ที่ผิดปกติเพิ่ม นำไปสู่การยับยั้งการแบ่งเซลล์ของมะเร็งในที่สุด
4. ยาเบาหวานจาก "น้ำลายกิ้งก่า" : Exenatide
กิ้งก่า กิลา มอนสเตอร์ (Heloderma suspectum). สัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่นี้กินอาหารเพียงปีละครั้งหรือสองครั้ง ดังนั้นจึงต้องอาศัยกลไกทางสรีรวิทยาที่มีประสิทธิภาพสูงเพื่อให้สามารถประมวลผลอาหารและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างยั่งยืน Dr. John Eng และคณะ ได้แยกฮอร์โมนชื่อ Exendin-4 (Ex4) ออกจากน้ำลายของกิลา มอนสเตอร์.
สารนี้มีคุณสมบัติคล้ายกับฮอร์โมน Glucagon-like Peptide-1 (GLP-1) ของมนุษย์ ซึ่งเป็นฮอร์โมนอินครีตินที่หลั่งออกมาหลังมื้ออาหารเพื่อกระตุ้นการหลั่งอินซูลินแบบขึ้นอยู่กับกลูโคสและยับยั้งกลูคากอน
Exendin-4 ซึ่งพัฒนามาจากวิวัฒนาการของกิลา มอนสเตอร์ มีโครงสร้างที่วิวัฒนาการมาให้มีความทนทานต่อการย่อยสลายโดย DPP-4 ได้สูงกว่า ความเสถียรที่สูงกว่าตามธรรมชาตินี้เป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนา Exenatide (ชื่อการค้า Byetta, Bydureon) ซึ่งเป็น Exendin-4 ที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์จากความเสถียรนี้
ทำให้ Exenatide เป็นยาฉีดที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับภาวะเรื้อรังอย่างเบาหวานชนิดที่ 2. ยานี้เป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนา GLP-1 Receptor Agonists รุ่นต่อมาที่มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นไปอีก เช่น Liraglutide และ Semaglutide (ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจาก Exenatide)
ภาพกิ้งก่า กิลา มอนสเตอร์
5. ยาจาก "พิษงู" : Captopril
พิษงูนอกจากมีอันตรายถึงชีวิตแล้ว ถ้าถูกนำมาใช้อย่างเหมาะสม ก็สร้างประโยชน์ที่เป็นอนันต์ได้เช่นกัน นอกเหนือจากการทำเซรุม พิษงูสามารถอยู่ในสารประกอบของยาหลายชนิด ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ Captopril
Captopril ซึ่งเป็นยาตัวแรกในกลุ่ม Angiotensin-Converting Enzyme (ACE) Inhibitor ถือเป็นการพัฒนาที่โดดเด่นในเภสัชวิทยาหัวใจและหลอดเลือด. สารตั้งต้นเริ่มต้นถูกพบในพิษของงูพิษบราซิล ( Bothrops Jararaca).
งูชนิดนี้ใช้พิษเพื่อทำให้เหยื่ออ่อนแอลง โดยมีผลทำให้ความดันโลหิตลดลงอย่างรวดเร็ว. นายแพทย์และเภสัชกรชาวบราซิล Sérgio Henrique Ferreira สนใจในพิษนี้และแยก Bradykinin Potentiating Factor (BPF) ซึ่งเป็นเปปไทด์ที่พบว่ามีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ ACE
Bradykinin Potentiating Factor (BPF) ซึ่งสกัดจากพิษของงูมีฤทธิ์ลดความดันโลหิต แต่เนื่องจากมี Poor Oral Bioavailability (การดูดซึมทางปากต่ำ) และถูกย่อยสลายได้ง่ายในทางเดินอาหาร ทำให้ไม่สามารถนำมาผลิตเป็นยาเม็ดสำหรับรักษาโรคเรื้อรังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จึงมีการเปลี่ยนจากเปปไทด์ไปสู่โมเลกุลขนาดเล็กนี้เป็นตัวอย่างคลาสสิกของความสำเร็จในการเปลี่ยนโครงสร้างที่ไม่เสถียรให้กลายเป็นยาที่มีคุณสมบัติทางเภสัชจลนศาสตร์ที่ดีขึ้น Captopril ถูกสังเคราะห์ขึ้นในปี 1975 และเป็นโมเลกุลแรกในกลุ่ม ACE Inhibitor ที่ได้รับการอนุมัติจาก FDA ในปี 1980 โดยมีข้อบ่งใช้ในการลดความดันโลหิต
ในปัจจุบัน Captopril ไม่ได้รับความนิยมมากนัก เนื่องจากปัญหาสำคัญคือเรื่องของรสชาติ (Metallic taste) ทำให้มีการพัฒนายาอื่นๆเช่น Enalapril และ Lisinopril
แต่ยา Captopril ก็ยังถูกใช้ลดความดันในหลายกรณี เช่น ก่อนการผ่าตัด ฟอกไต หรือเมื่อคนไข้มีความดันสูงจนถึงระดับอันตราย จนถึงปัจจุบัน
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยาแต่ละตัวมีที่มาที่ไปที่น่าสนใจ และเชื่อมโยงกับมิติต่างๆของมนุษย์ ทั้งประวัติศาสตร์ การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของมนุษย์อยู่ตลอดเวลา หากใครต้องการฟังประวัติของยาตัวไหนอีก ลองพิมพ์เข้ามานะครับ
อ้างอิง
https://www.bmj.com/open-data/incretin
https://www.research.va.gov/research_in_action/Diabetes-drug-from-Gila-monster-venom.cfm
https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/21487412/
สุขภาพ
ความรู้รอบตัว
เรื่องเล่า
บันทึก
3
1
3
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย