Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Southstar
•
ติดตาม
4 ต.ค. เวลา 09:51 • ประวัติศาสตร์
"วิกฤตขี้ม้า" บทเรียนที่ย้ำเตือนเราว่าโลกนี้คือ "ความไม่แน่นอน"
วิกฤตขี้ม้ามันคือเรื่องจริง ที่เกิดขึ้นเมื่อกว่า 130 ปี ก่อน มันคือประวัติศาสตร์ ที่ทำให้เราได้ขบคิด ศึกษา และเรียนรู้ ในหลายๆด้าน และย้ำเตือนว่าแท้จริงแล้วโลกนี้กำลังขับเคลื่อนอยู่บนความไม่แน่นอน
ในปี ค.ศ. 1894:
มหานครของโลกอย่างลอนดอน และนิวยอร์กถือเป็นหัวใจสำคัญของการค้าและสังคมโลก แต่เมืองกลับกำลังเผชิญกับปัญหาที่ไม่มีทางแก้ไข ใช่ครับ ไม่มีทางแก้ไข!!!
จุดเริ่มต้นมันเกิดจากสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า'ม้า' สมัยนั่นไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง การขนส่ง การค้าขาย การท่องเที่ยว ทุกๆอย่างใช้ม้าเป็นหลักทั้งสิ้น
ถ้าใครยังคิดภาพไม่ออก ลองคิดถึงภาพปัจจุบัน แล้วเปลี่ยนรถมอเตอร์ไซด์ทุกเครื่อง รถยนต์ทุกคัน รถเมล์ทุกสาย รถไฟฟ้าทุกขบวน เป็น ม้า.... นั่นละครับภาพในช่วงปลายของศตวรรษที่ 19
ปัญหาและสิ่งที่ตามมาคือ ปริมาณของเสียจากม้าจำนวนมหาศาลทวีความรุนแรงขึ้น จนถูกขนานนามว่า "วิกฤตการณ์มูลม้าครั้งใหญ่ปี ค.ศ. 1894" 'The Great Horse Manure Crisis of 1894'
ถึงขั้นที่มีการทำนายจากผู้เชี่ยวชาญจากหลายสาขาเป็นเสียงเดียวกันว่าภายใน 50 ปี ถนนในลอนดอนจะถูกฝังอยู่ใต้กองขี้ม้าหนาถึง 1.80 เมตร(ขี้ท่วมหัวกันเลยทีเดียว)🤮🤮🤮
ม้าเป็นเสาหลักที่ขาดไม่ได้ของเมือง ม้าลากรถขนส่งสาธารณะ (รถโดยสารและรถราง), ขนส่งสินค้า, และขนของเสียออกไปจากเมือง นั่นหมายความว่า ถ้าเราต้องการเร่งปริมาณและความเร็วเพื่อกำจัดของเสีย เราก็ต้องเพิ่มม้ามาขน ซึ่งก็จะวนกลับมาเพิ่มของเสียใส่เมืองอีกรอบ เป็นวงจรอุบาทที่ไรทางแก้ไข
ในปี ค.ศ. 1900 เฉพาะในมหานครนิวยอร์กเพียงแห่งเดียวมีม้าใช้งานมากกว่า 100,000 ตัว ซึ่งแต่ละตัวถ่ายมูลออกมาระหว่าง 7 ถึง 20 กิโลกลัมต่อวัน
ทำให้มีของเสียเป็นล้านกิโลกรัม พร้อมด้วยฉี่อีกเป็นหมื่นๆลิตรต่อวัน ถูกทิ้งอยู่บนถนนในเมืองทุกวัน ทำให้ถนนกลายเป็นบึงโคลนที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่าเมื่อเปียกชื้น และกลายเป็นฝุ่นผงเมื่อแห้งกรัง
การประชุมวางผังเมืองนานาชาติครั้งแรกของโลกที่จัดขึ้นในนิวยอร์กในปี ค.ศ. 1898 ต้องยุติลงก่อนกำหนด เนื่องจากผู้เข้าร่วมประชุมที่เป็นเหล่าคนมากปัญญาระดับโลกไม่สามารถคิดหาแนวทางแก้ไขปัญหานี้ได้
ดูเหมือนว่าอารยธรรมของมนุษย์ในเมืองกำลังเดินอยู่บนเส้นด้าย สู่ทางตัน และถูกลิขิตให้จมอยู่ใต้อาจมจากสัตว์ที่จำเป็นต่อการอยู่รอดของตนเอง
แต่...โลกนี้นั่นดำรงอยู่บน "ความไม่แน่นอน"
ทุกคนต่างสิ้นหวัง หมดหนทาง และยอมแพ้ต่อปัญหาที่ไม่มีทางออกนี้ แต่อยู่ๆราวกับมีปฎิหารย์ร่วงหล่นมาจากฝากฟ้า
คือการมาของบรุษสองคน ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับวงจรของปัญหานี้เลย แต่กลับทำให้ปัญหามันหายไปอย่างหมดจด อย่างไม่น่าเชื่อ เขาคือ 'เฮนรี่ ฟอร์ด' และ 'คาร์ล เบนซ์' ผู้ริเริ่ม รถยนต์แบรนด์ Ford และ Benz
พวกเขาเริ่มเทคโนโลยี รถยนต์ราคาประหยัด รถรางไฟฟ้า และรถโดยสารที่ใช้เครื่องยนต์
มันได้เข้ามาแทนที่พลังงานจากม้า ด้วยประโยชน์ที่เร็วขึ้น สะอาดขึ้น และท้ายที่สุดก็มีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่ถูกกว่า
เมื่อเครื่องยนต์สันดาปภายในเข้าแทนที่ม้าอย่างรวดเร็ว ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 จำนวนม้าใช้งานในเมืองใหญ่ก็ลดลงอย่างฮวบฮาบ ปัญหาที่ดูเหมือนจะแก้ไขไม่ได้ในปี ค.ศ. 1894 ก็ค่อย ๆ หายไปภายในระยะเวลาเพียงแค่ 20ปี
วัตถุประสงค์สำคัญอันดับแรกของเฮนรี ฟอร์ด (Henry Ford) ในการสร้างรถยนต์คือ การผลิตรถยนต์ที่ราคาไม่แพงเพื่อให้คนทั่วไปสามารถซื้อหามาเป็นเจ้าของได้ หรือกล่าวคือ "การนำพาทุกคนบนโลกให้มีรถขับ" (คล้ายๆ อีลอน มัสก์ นะผมว่า🤭🤭)
เขาไม่ได้สนใจเรื่องขี้ม้าท่วมเมืองเลย
เขาเป็นดาวที่อยู่นอกวงโคจรของเรื่องนี้ไปคนละ แกแลคซี่ ด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่เขาประดิษฐกลับโคจรวนกลับมาแก้ไขเรื่องนี้อย่างพอเหมาะพอเจาะ
ให้ผมวิเคราะห์เรื่องนี้ ผ่านทฤษฎีของผม นั่นคือ ในช่วงนั่นโลกกำลังถูกครอบงำโดยทฤษฎีวิทยาศาตร์คลาสสิคแบบนิวตัน ที่ว่าด้วยความแน่นอน ตรรกะลำดับแบบเหตุและผลตามลำดับ
ผู้เชี่ยวชาญผู้เก่งกาจทั้งหลายที่สุมหัวกัน เพื่อจะแก้ปัญหาขี้ม้าท่วมเมือง จึงคำนวนเอาตามแบบหลักคิดนั่น ว่าตามสถิติมีม้าเท่านี้ ต่อวันปล่อยของเสียเท่านี้ กำจัดของเสียได้แค่นี้ เหลือของเสียเท่านี้ จะทำให้ขี้ท่วมเมืองในอีกกี่ปีนี้ มันจึงเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นแน่นอนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จริงๆหลักคิดแบบวิทยาศาตร์คลาสสิคแบบนิวตัน มันผิดไหม ผมตอบได้เลย ไม่ผิด!! แต่มันแค่ยังไม่ครบ!!
ถ้าผมจินตนาการย้อนไปเป็นนิวตัน นอนอยู่ใต้ต้นแอปเปิ้ล ผมเห็นแอปเปิ้ลหล่นลงมาและคิดสูตรทางฟิสิกส์ของนิวตัน
ผมสามารถรู้ได้ว่าถ้า apple จากจุด A น้ำหนักขนาดนี้ หล่นมาด้วยความเร็วเท่านี้ ในแรงโน้มถ่วงเท่านี้ จะใช้เวลาเท่าไหร่ที่ apple จะลงมาถึงจุด B บนพื้นดิน
แต่อาจจะยังก่อนน้าาา.... นิวตันลืมไปหรือเปล่าว่าโลกนี้ไม่ได้มีแค่ต้นแอปเปิ้ล, ลูกแอปเปิ้ล, แรงโน้มถ่วงและพื้นดิน!!!
ถ้าระหว่างที่ลูกแอปเปิ้ลกำลังตก แล้วดันมีนกน้อยซุกซนตัวหนึ่งบินมาชนลูกแอปเปิ้ลที่อยู่กลางอากาศ ผลลัพธ์ก็จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
หรือ ถ้ามากไปกว่านั้นถ้าตอนที่จังหวะนกน้อยตัวนั้นบินชน แล้วจงอยปากมันไปจิกเนื้อแอปเปิ้ลออกส่วนนึงน้ำหนักและทิศทางที่เปลี่ยนไป จุดจบที่จุด B ยังจะเป็นเหมือนเดิมอีกหรือไม่???
นิวตัวไม่ได้ลืม แค่ตอนนั่นนิวตันยังเห็นไม่ครบ
นั่นแหละคือประเด็นเมื่อโลกเต็มไปด้วยปัจจัยที่มากมายมหาศาลเกินจินตนาการที่จะส่งผลต่อเหตุการณ์เหตุการณ์หนึ่ง ผลลัพธ์ต่างๆจึงขึ้นอยู่กับ "ความไม่แน่นอน"
ที่มันขึ้นกับความไม่แน่นอน นั่น เพราะเราไม่สามารถหาทุกปัจจัยลงมาแทนที่ในสมการให้ครบถ้วนได้ จนวิทยาศาสตร์เริ่มพูดเรื่องสัมพันธภาพ ของไอสไตน์
จนมาถึงยุคนี้ ที่เปลี่ยนมาสู่วิทยาศาตร์แบบควอนตัมที่กำลังครอบงำความคิดทั้งโลกอยู่ ซึ่งแกนหลักของทฤษฎี ควอนตัมนั่นกล่าวถึง "สรรพสิ่งนั่นไม่แน่นอน" ซึ่งผมเคยเขียนไว้ในบทความเรื่อง 'โลกทัศน์แบบควอนตัม' (Quantum Worldview)
เรากำลังอยู่ในยุคสมัยใหม่ ที่ทั้งกำลังเติ่มเต็ม และบั่นทอนสถานการณ์ กลับไปกลับมาด้วยความไม่แน่นอนอยู่ตลอดเวลา จงระวัง และจงตั้งคำถามเมื่อเห็นสิ่งใดดูชัดเจนเกินไป แน่นอนเกินไป และไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ นั่นอาจเป็นขี้ม้าแห่งยุคสมัยใหม่ที่กำลังจะท้วมทับเราก็เป็นได้ / JPW
แนวคิด
ไลฟ์สไตล์
ธุรกิจ
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย