4 ต.ค. เวลา 12:32 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

Model AI จาก OpenAI และ Google DeepMind โชว์เทพในการแข่งขันเขียนโค้ดระดับโลก ICPC 2025

ณ กรุงบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2025 ในการแข่งขันเขียนโปรแกรมระดับอุดมศึกษาที่ทรงเกียรติและเก่าแก่ที่สุดในโลกอย่าง "International Collegiate Programming Contest (ICPC) World Finals ครั้งที่ 49" ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญที่อาจเปลี่ยนโฉมหน้าวงการเทคโนโลยีไปตลอดกาล
เมื่อดาวเด่นของงานไม่ได้มีเพียง "139 ทีมสุดยอดโปรแกรมเมอร์รุ่นใหม่จากกว่า 100 ประเทศ" ที่ผ่านการคัดเลือกมาแข่งขันในรอบสุดท้าย แต่ยังรวมถึงผู้เข้าแข่งขัน "ปัญญาประดิษฐ์(AI)" จากสองค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง OpenAI และ Google DeepMind ที่ได้สร้างผลงานจนกลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่
ผลการแข่งขันที่น่าทึ่ง
ก่อนจะลงลึกถึงผลการแข่งขัน เรามาทำความเข้าใจการแข่งขันครั้งนี้กันก่อน "ICPC" เปรียบเสมือน "โอลิมปิกของการเขียนโค้ด" ที่ทีมตัวแทนนักศึกษา 3 คน ต้องร่วมมือกันใช้คอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียว แก้โจทย์ปัญหาเชิงอัลกอริทึมที่ซับซ้อนจำนวน 12 ข้อ ภายในเวลาจำกัดเพียง 5 ชั่วโมง โจทย์เหล่านี้ไม่ได้วัดแค่ความสามารถในการเขียนโค้ด แต่ทดสอบทักษะการแก้ปัญหา, การคิดเชิงตรรกะ, ความรู้ด้านคณิตศาสตร์ และการทำงานเป็นทีมภายใต้แรงกดดันมหาศาล
ระบบการให้คะแนนของ ICPC เน้นคุณภาพและความเร็ว ทีมจะได้รับคะแนนเมื่อส่งคำตอบที่ถูกต้องสมบูรณ์เท่านั้น และจัดอันดับตามจำนวนโจทย์ที่แก้ได้ หากแก้ได้เท่ากันจะวัดกันที่เวลารวมที่ใช้
ในปี 2025 นี้ 4 ทีมแรกจะได้รับเหรียญทอง ตามด้วยเหรียญเงินและทองแดงตามลำดับ โดยทีมที่ได้อันดับ 1 (แชมป์โลก) สามารถแก้โจทย์ได้ 11 ข้อจาก 12 ข้อ ซึ่งถือเป็นผลงานมนุษย์ที่ดีที่สุดของปีนี้
สนาม AI Experimental Track: การทดลองครั้งประวัติศาสตร์
ในการแข่งขันปี 2025 มีการจัด "สนาม AI Experimental Track" ควบคู่ไปกับการแข่งขันหลักของมนุษย์เป็นครั้งแรก เพื่อเปิดโอกาสให้โมเดล AI ขั้นสูงได้ลองแข่งขันแก้โจทย์ภายใต้เงื่อนไขเดียวกับมนุษย์ สนาม AI นี้ไม่ได้รวมอยู่ในการจัดอันดับอย่างเป็นทางการของทีมมหาวิทยาลัย แต่ถูกจัดขึ้นอย่างเป็นทางการและอยู่ภายใต้การควบคุมของกรรมการ ICPC โดยใช้ชุดโจทย์เดียวกันและเกณฑ์การตัดสินเดียวกันกับการแข่งขันมนุษย์ทุกประการ
เงื่อนไขการทดสอบที่เข้มงวด
  • โมเดล AI ได้รับโจทย์ในรูปแบบเดียวกับที่แจกให้ผู้เข้าแข่งขัน (ไฟล์ PDF)
  • ต้องส่งโค้ดโปรแกรมให้ระบบตรวจแบบเดียวกับทีมมนุษย์
  • แข่งขันภายในเวลาจำกัด 5 ชั่วโมงเท่ากัน โดยไม่มีการยกเว้นหรือปรับเงื่อนไขใด ๆ
  • ไม่มีผู้ช่วยเหลือมนุษย์ขณะทำการแก้ปัญหา (ทำงานโดยอัตโนมัติทั้งหมด)
  • ไม่ได้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมระหว่างการแข่งขัน
ในปีนี้มีการเข้าร่วมของสองทีม AI จากสองบริษัทยักษ์ใหญ่ OpenAI ส่งระบบ AI เข้าแข่งขันในสนาม AI ณ สถานที่จัดการแข่งขัน ภายใต้สภาพแวดล้อมเดียวกับทีมมนุษย์ ในขณะที่ Google DeepMind ส่งโมเดล AI เข้าแข่งขันผ่านระบบออนไลน์ จากระยะไกล โดยยังคงปฏิบัติตามกติกาของ ICPC และอยู่ในการดูแลของผู้จัดการแข่งขันเช่นกัน
ผลงานของ OpenAI: การทำคะแนนเต็มครั้งประวัติศาสตร์
ทางฝั่ง OpenAI ได้ส่งระบบที่ผสานการทำงานระหว่าง โมเดล GPT-5 (โมเดลภาษาขนาดใหญ่รุ่นใหม่ของ OpenAI ที่เปิดตัวเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2025) กับ โมเดลเหตุผลเชิงทดลอง (Experimental Reasoning Model) ภายในของบริษัท มาช่วยกันแก้โจทย์ในสนาม AI นี้ ผลลัพธ์ที่ได้คือ ระบบของ OpenAI สามารถแก้โจทย์ได้ถูกต้องครบทั้ง 12 ข้อ คิดเป็นคะแนนเต็มซึ่งเพียงพอจะคว้าอันดับที่ 1 หากนำไปจัดอันดับรวมกับทีมมนุษย์ในการแข่งขันครั้งนี้
ความสำเร็จนี้ถือเป็น การทำคะแนนได้สมบูรณ์แบบครั้งประวัติศาสตร์ในการแข่งขัน ICPC เนื่องจากปกติแล้วแทบไม่เคยมีทีมใดแก้ได้ครบทุกข้อภายในเวลาที่กำหนด และเหนือกว่าอันดับหนึ่งของมนุษย์ที่แก้ได้ 11 ข้ออย่างชัดเจน
OpenAI เปิดเผยว่าโมเดล GPT-5 ของตนสามารถแก้โจทย์ส่วนใหญ่ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำในการลองส่งครั้งแรก แต่ละคำตอบที่สร้างขึ้นมาผ่านการตรวจสอบโดยเคสทดสอบของระบบ Judge ทันทีที่ส่ง และปรากฏว่า 11 ข้อแรก GPT-5 ตอบถูกต้องตั้งแต่การส่งครั้งแรก ไม่มีการลองผิดลองถูกแต่อย่างใด แสดงถึงความสามารถ
ในการทำความเข้าใจโจทย์และเขียนโค้ดได้ถูกต้องในคราวเดียว
อย่างไรก็ตาม สำหรับ โจทย์ข้อที่ 12 ซึ่งเป็นข้อยากที่สุดของชุด (เป็นข้อที่ไม่มีทีมมนุษย์ทีมใดแก้ได้ในปีนี้) โมเดลของ OpenAI ต้องใช้ความพยายามเพิ่มขึ้น OpenAI ระบุว่าได้ใช้งานโมเดลเหตุผลเชิงทดลองตัวพิเศษมาร่วมพยายามแก้โจทย์ข้อนี้ โดยมีการสร้างคำตอบและส่งให้ระบบตรวจซ้ำหลายครั้ง จนกระทั่งมาผ่านในความพยายามครั้งที่ 9 จึงได้คำตอบที่ถูกต้องของโจทย์สุดท้าย ส่งผลให้คะแนนโดยรวมออกมาเต็ม 12 คะแนนในที่สุด
สิ่งที่น่าสังเกตคือ OpenAI ระบุว่าพวกเขา ไม่ได้สร้างหรือปรับโมเดล GPT-5 ขึ้นมาเพื่อการแข่ง ICPC โดยเฉพาะ โมเดลไม่ได้ถูกฝึกกับโจทย์ ICPC มาก่อนและไม่มี fine-tuning แบบเจาะจงสำหรับการแข่งขันครั้งนี้แต่อย่างใด เป็นการนำ "โมเดลอเนกประสงค์" ที่มีอยู่มาแก้โจทย์ตามที่ให้แบบทันทีทันใด ซึ่งยิ่งเน้นย้ำว่าความสามารถที่แสดงออกมาเป็นศักยภาพทั่วไปของโมเดล AI ไม่ใช่การจดจำหรือเตรียมตัวกับปัญหาเฉพาะทางเท่านั้น
ผลงานของ Google DeepMind: การแก้โจทย์ยากที่มนุษย์ทำไม่ได้
ฝั่งของ Google DeepMind ได้ส่งโมเดล Gemini 2.5 Deep Think เข้าร่วมสนาม AI โดยโมเดลนี้ถือเป็นเวอร์ชันพัฒนาขั้นสูงของระบบ Large Language Model ตระกูล Gemini ของ DeepMind ผลการแข่งขันปรากฏว่า Gemini 2.5 สามารถแก้โจทย์ได้ถูกต้อง 10 ข้อจากทั้งหมด 12 ข้อ ภายในเวลา 5 ชั่วโมงที่กำหนด ซึ่งจัดว่าอยู่ในเกณฑ์คะแนนระดับเหรียญทองเช่นกัน (การแก้ได้ 10 ข้อเพียงพอจะจัดอันดับที่ 2 overall เมื่อเทียบกับทีมมนุษย์ทั้งหมด)
โมเดล Gemini แสดงให้เห็นจุดแข็งด้านความเร็วและประสิทธิภาพอย่างโดดเด่น โดยในช่วงแรกของการแข่งขันมันสามารถ แก้ได้ถึง 8 ข้อภายในเวลาเพียง 45 นาทีแรก และเพิ่มเป็น 10 ข้อภายในเวลาประมาณ 3 ชั่วโมงแรก ของการแข่งขันเท่านั้น การทำงานที่รวดเร็วเช่นนี้เป็นผลจากการที่ AI สามารถวิเคราะห์โจทย์และสร้างโค้ดคำตอบได้อย่างฉับไว รวมถึงตรวจสอบหลายแนวทางขนานกัน ซึ่งเร็วกว่าอัตราการทำงานของมนุษย์อย่างเทียบไม่ติดในช่วงโจทย์ระดับง่ายถึงปานกลาง
จุดเด่นที่สุดในผลงานของ Gemini คือความสามารถในการแก้ "โจทย์ที่ยากที่สุด" ซึ่งไม่มีทีมมนุษย์ทีมใดแก้ได้สำเร็จเลยในปีนี้ นั่นคือ โจทย์ข้อ C ของการแข่งขัน ถือเป็นเหตุการณ์ไม่เคยมีมาก่อนที่คอมพิวเตอร์แก้โจทย์ซึ่งมนุษย์ทุกทีมยอมแพ้ได้ ภายในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงแรกของการแข่งขัน
สำหรับรายละเอียดของ Problem C ข้อนี้ โจทย์กำหนดสถานการณ์การกระจายน้ำผ่านเครือข่ายท่อไปยังถังเก็บหลายใบ โดยต้องการหาวิธีเปิด-ปิดหรือปรับความกว้างของท่อแต่ละเส้น (ซึ่งมีความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัดทั้งเปิดเต็มที่ ปิด หรือเปิดบางส่วน) เพื่อให้สามารถเติมน้ำให้ถังทุกใบจนเต็มได้ในเวลารวดเร็วที่สุด เป็นปัญหาเพิ่มประสิทธิภาพเชิงเครือข่ายที่มีความเป็นไปได้มหาศาลในการเลือกปรับท่อ ทำให้การค้นหาคำตอบที่เหมาะสมที่สุดเป็นไปได้ยากมากสำหรับมนุษย์
มเดล Gemini 2.5 สามารถหาคำตอบของโจทย์สุดหินข้อนี้ได้ด้วยแนวคิดที่เข้าใจง่ายขึ้น หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ก็เหมือนกับการวางแผนเทน้ำใส่ถังหลายใบที่เชื่อมต่อกันด้วยท่อจำนวนมาก Gemini จะค่อย ๆ คิดว่าควรเปิดหรือปิดท่อใดก่อนหลัง เพื่อให้น้ำไหลไปถึงทุกถังได้เร็วที่สุด โดยมันใช้กระบวนการคิดแบบวางแผนเป็นขั้นตอน (คล้าย Dynamic Programming) และปรับกลยุทธ์ให้รับมือกับสถานการณ์ที่แย่ที่สุดได้ดี (เหมือนหลัก minimax ในเกม) นั่นทำให้ AI ตัวนี้สามารถออกแบบวิธีเทน้ำที่เร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุดได้
ด้วยวิธีนี้ Gemini สามารถปรับแต่งค่าความสำคัญของแต่ละถังไปมาจนได้ชุดค่าที่ทำให้โครงข่ายท่อเติมน้ำทุกถังจนเต็มได้เร็วที่สุด ซึ่งนำไปสู่การหาคำตอบที่ถูกต้องของโจทย์ข้อ C ได้สำเร็จ ถือเป็นการค้นพบวิธีแก้ปัญหาใหม่ที่ทีมมนุษย์ไม่ค้นพบในการแข่งครั้งนี้ และเป็นตัวอย่างของการใช้เหตุผลระดับสูงของ AI เพื่อแก้ปัญหาในรูปแบบใหม่ที่สร้างความประทับใจแก่กรรมการและผู้ชมมาก
การเปรียบเทียบกับทีมมนุษย์และข้อสังเกตทางเทคนิค
จากผลการแข่งขันจะเห็นว่าระบบ AI ทั้งของ OpenAI และ DeepMind สามารถทำผลงานได้เทียบเท่าหรือเหนือกว่าทีมมนุษย์อันดับสูงสุดของโลกอย่างชัดเจนในด้านจำนวนโจทย์ที่แก้ได้และความเร็วในการแก้ Model ของ OpenAI แก้ได้ครบ 12 ข้อ (มากกว่าทีมแชมป์โลกของมนุษย์ที่แก้ได้ 11 ข้อ) ส่วน Model Gemini ของ DeepMind แก้ได้ 10 ข้อจาก 12 ข้อ ซึ่งแม้จะน้อยกว่า OpenAI อยู่ 2 ข้อ แต่ก็ยังมากพอที่จะอยู่ในระดับ "เหรียญทอง" และคิดเป็นอันดับที่ 2 หากจัดอันดับรวมกับทีมมนุษย์ทั้งหมดในการแข่งขันครั้งนี้
Model AI ทั้ง 2 สามารถแก้โจทย์เกือบทุกข้อที่ทีมมนุษย์ระดับหัวแถวแก้ได้ และยังแก้โจทย์ข้อ C ซึ่งเป็นโจทย์ยากที่ทุกทีมมนุษย์ไม่สามารถแก้ได้สำเร็จได้ทั้งคู่ ในทางกลับกัน ข้อที่ Gemini แก้ไม่สำเร็จ 2 ข้อนั้น เป็นข้อที่ทีมมนุษย์บางทีมแก้ได้ ทำให้ถ้านำจุดแข็งของมนุษย์และ AI มารวมกัน จะพบว่าสามารถแก้โจทย์ครบทั้ง 12 ข้อได้สมบูรณ์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า AI กับมนุษย์มีศักยภาพเสริมกันในด้านการแก้ปัญหาเชิงซับซ้อน และการร่วมมือกันอาจทำให้ผลลัพธ์โดยรวมดียิ่งขึ้นไปอีกในอนาคต
ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดระหว่างการแก้ปัญหาของ AI กับทีมมนุษย์ คือ ความเร็วและรูปแบบการค้นหาคำตอบ AI สามารถอ่านและประมวลผลโจทย์พร้อมเขียนโปรแกรมออกมาได้ในเวลาไม่กี่วินาที ในขณะที่มนุษย์ต้องใช้เวลาคิด วิเคราะห์ และพิมพ์โค้ดที่นานกว่ามาก นอกจากนี้ AI ยังสามารถใช้แนวทางลองผิดลองถูก ได้อย่างรวดเร็วและไม่เหนื่อยล้า
ก้าวสู่อนาคตของการแก้ปัญหาร่วมกันระหว่าง AI และมนุษย์
ผลลัพธ์อันโดดเด่นของ AI ในการแข่งขัน ICPC 2025 ได้ก่อให้เกิดกระแสสะเทือนไปทั้งวงการวิจัย AI ผู้จัดการแข่งขันและผู้เชี่ยวชาญต่างมองว่านี่คือความสำเร็จสำคัญทางประวัติศาสตร์ของ AI ในด้านการแก้ปัญหาเชิงอัลกอริทึม นี่คือ "ช่วงเวลาสำคัญ" ที่จะกำหนดทิศทางว่าเราจะนำเครื่องมือ AI มาผนวกกับมาตรฐานเชิงวิชาการสำหรับคนรุ่นต่อไปอย่างไร และเชื่อว่าผลงานครั้งนี้จะช่วยจุดประกายการนำเทคโนโลยีเข้ามายกระดับการแก้ปัญหาเพื่อประโยชน์ส่วนรวมในวงกว้าง
ในสายตาของนักวิจัย AI หลายคน ผลงานระดับเหรียญทองของ GPT-5 และ Gemini 2.5 ในสนามแข่งขันระดับโลกเช่นนี้สะท้อนถึง ศักยภาพการให้เหตุผลขั้นสูงของโมเดลปัญญาประดิษฐ์ยุคใหม่ ซึ่งมองว่านี่เป็นอีกก้าวหนึ่งที่เข้าใกล้แนวคิดเรื่องปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป หรือ AGI (Artificial General Intelligence) มากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะโมเดลเริ่มแสดงให้เห็นว่าสามารถแก้ปัญหาที่ต้องใช้การคิดวิเคราะห์เชิงนามธรรมซับซ้อนได้ทัดเทียมกับมนุษย์
การแข่งขัน ICPC 2025 จึงไม่เพียงแต่เป็นการทดสอบความสามารถของ AI ในการแก้ปัญหาเชิงอัลกอริทึม แต่ยังเป็นการเปิดประตูสู่ยุคใหม่ที่ AI และมนุษย์จะร่วมมือกันแก้ปัญหาที่ซับซ้อนและท้าทายมากขึ้น ผลงานครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าอนาคตของการแก้ปัญหาอาจไม่ใช่การแข่งขันระหว่าง AI กับมนุษย์ แต่เป็นการผสานจุดแข็งของทั้งสองฝ่ายเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เคยเป็นมา
Reference Sources
1. Gemini achieves gold-level performance at the International Collegiate Programming Contest World Finals
2. OpenAI outperforms humans and Google at the world's top collegiate programming contest
3. OpenAI Reasoning Model Solved ALL 12 Problems at ICPC 2025 Programming Contest
4. OpenAI, Google reasoning models achieve gold-level scores in ICPC coding contest
5. 49th Annual ICPC World Finals - Official Results
โฆษณา