Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
P. Jangji อ่านแล้วก็กิน กินแล้วก็อ่าน
•
ติดตาม
6 ต.ค. เวลา 11:10 • หนังสือ
หนังสือ "วัชรกูรูมนตรา"
อาจารย์หมอดิลก สวนธรรมะโพธิญาณ
ประวัติการภาวนาของท่านคุรุปัทมะสัมภาวะ
ฉัน คุรุปัทมสัมภาวะ แห่งโอธิยาน เมื่ออายุได้แปดขวบศรัทธาอันยิ่งยวดได้บังเกิดขึ้นแก่ฉัน ฉันจึงได้เดินทางไปศึกษาธรรมกับท่านคุรุศรีสิงหะ ถวายเครื่องสักการบูชา เพื่อทำความเคารพอย่างสูงและขอคำแนะนำจากท่าน
ท่านคุรุของฉันได้แนะนำว่า : "จงตั้งใจฝึกฝนจิตของเธอตามหลักคำสอนในพระไตรปิฎก" ดังนั้น
ในทางทิศตะวันออกของบัลลังก์แห่งวัชระ ฉันพากเพียรศึกษาพระสูตร,
ในทางทิศใต้ ฉันพากเพียรศึกษาพระวินัย,
ในทางทิศตะวันตก ฉันพากเพียรศึกษาพระอภิธรรม,
และในทางทิศเหนือ ฉันพากเพียรศึกษาปารมิตตา
เมื่อศึกษาพระไตรปิฎกจนครบเช่นนั้นแล้ว ฉันได้กลับไปพบท่าน ถวายเครื่องสักการบูชาและขอร้องให้ท่านยอมรับฉันเป็นศิษย์ ท่านคุรุจึงได้ตอบว่า "ลูกเอย เธอจงไปเริ่มต้นฝึกจิตของตนตามแนวคำสอนของมนตราศักดิ์สิทธิ์"
ดังเช่นนั้น ฉันจึงได้ศึกษาโยคะทั้งสามในแคว้นโอธิยาน, และในแคว้นซาฮอร์ (Sahor) ฉันได้ศึกษาปฏิบัติมหาโยคะยันตระ และ ซอกเชนในหมวดของจิต,
ในแคว้นนัยรันชรา (Nairanjara) ฉันศึกษา กิลายา (Kilaya),
ในแคว้นสิงหะ ฉันศึกษาปัทมมเหศวารา (Padma Maheshvara),
ในแคว้น วสุธารา ฉันศึกษากริยา (Kriya),
ในประเทศเนปาล ฉันศึกษา ยามันตักกะ (Yamantaka),
ในแคว้น เมรุธเส (Merutse) ฉันศึกษามาโม (Mamo),
ณ บัลลังก์แห่งวัชระ ฉันศึกษา เหรุกะสัทธานะทั้งแปด (Heruka Sadhanas),
และในแคว้นลันท์ชา (Lantsha) ฉันศึกษา กูหยาสามายา (Guhya Samaja) : ซึ่งรวมบิดาตันตระทั้งสี่หมวดและมารดาตันตระทั้งหมด
เมื่อบังเกิดความรู้แจ้งชัดว่า ปรากฏการณ์ทั้งหลายล้วนเป็นเพียงดั่งเช่นความฝัน, ภาพลวงตา มิใช่สิ่งจริงแท้ และเป็นสิ่งลวงหลอก ฉันก็ได้เดินทางกลับไปหาท่านศรีสิงหะ คุรุของฉัน ... "ผมได้ศึกษาคำสอนของมนตราศักดิ์สิทธิ์จนหมดสิ้นแล้ว ตอนนี้ผมใคร่อยากรับคำสอนโดยตรงของท่านขอรับ"
ท่านศรีสิงหะตอบว่า "เธอเป็นผู้ที่ศึกษามามาก เบื้องต้นก็พระไตรปิฎก ต่อไปก็มนตราศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้จงปล่อยให้คำสอนทั้งหมดเหล่านั้นสลายไป ที่เธอเข้าใจว่า ปรากฏการณ์ทั้งหลายนั้นล้วนลวงหลอก นั่นมันยังไม่ได้ช่วยอะไร ความเข้าใจที่ว่า ทุกสิ่งเป็นดั่งเช่นความฝัน ดั่งภาพมายา ไม่ใช่สิ่งจริงแท้ และเป็นสิ่งลวงหลอก นั้นต้องประสานกลมกลืนกับชีวิตของเธอ หากมันไม่เข้าถึงใจของเธอ มันก็เป็นเพียงความคิดที่ว่างเปล่า ไร้คุณค่าใดๆ มันย่อมไม่อาจเกิดความรู้แจ้งหลุดพ้นใดๆได้"
ฉันจึงถามท่านว่า "หากเป็นเช่นนั้น ได้โปรด สอนกระผมถึงวิธีการที่จะนำมันเข้าสู่ใจด้วยครับ" ... ท่านได้กล่าวต่อไปว่า
"ตอนนี้จงมานั่งอยู่หน้าฉันในท่าขัดสมาธิ วางมือให้สมดุลในท่าสมาธิ ตั้งกายตรง นี่คือจุดสำคัญเกี่ยวกับกาย มองไปข้างหน้าในความยิ่งใหญ่ไพศาลของท้องฟ้า
นี่คือจุดสำคัญของท่อลมปราณต่างๆ กลั้นลมปราณเบื้องล่าง กดลมปราณเบื้องบน นี่คือจุดสำคัญของลมปราณ ให้จินตภาพ อักขระ E ในพินทุสีแดง ที่นิรมานจักระ ณ บริเวณใต้สะดือ และ จินตภาพพินทุสีขาว อัขระ BAM ณ มหาสุขจักระ ที่กระหม่อม นี่คือ จุดสำคัญของพินทุ กำหนดจิตให้อักขระทั้งสอง เคลื่อนตัวมาพบกันที่ ธรรมจักระบริเวณหัวใจ แล้วอักขระ BAM ค่อยๆสลายรวมกัน ด้วยไฟจาก E นี่คือจุดสำคัญของจิต จินตภาพให้พินทุทั้งสองคือ ทั้งขาวและแดงค่อยๆเล็กลงจนในที่สุดไม่เหลืออะไรในจิต นี่คือจุดสำคัญของความรู้แจ้งอันสมบูรณ์"
ฉันได้พากเพียรทำตามที่ท่านสอน ปฏิบัติเช่นนี้จนเกิดประสบการณ์บางอย่างขึ้น เช่น ความรู้สึกของร่างกายหายไป, ลมหายใจเข้าออกหาย, เกิดความรู้สึกว่าตนสามารถเคลื่อนไปได้ทุกที่โดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้น และรู้สึกว่าตนเป็นอมตะ เมื่อเกิดความรู้สึกเช่นนี้ ฉันบังเกิดความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง จึงได้นำไปเล่าให้ท่านคุรุฟัง
ท่านคุรุศรีสิงหะกล่าวว่า "มันเป็นความโง่เขลายิ่งนัก ที่หลงภูมิใจในสิ่งที่เกิดขึ้นจากพรของคุรุ และหลงคิดว่ามันดีแล้วตอนนี้จงไปอยู่ในที่สงบวิเวก โดยไม่ต้องปรุงแต่งใดๆทั้งสิ้น"
ฉันได้เดินทางไปหาที่สงบวิเวกและได้พยายามที่จะไม่ปรุงแต่งใดๆทั้งสิ้นอยู่หนึ่งปี ประสบการณ์บางอย่างก็ได้บังเกิดขึ้น เช่น ความรู้สึกแจ้งชัดว่า ปรากฏการณ์ทั้งหลายล้วนว่างเปล่า ความว่างเปล่านั้นคือปรากฏการณ์ ปรากฏการณ์และความว่างล้วนมิได้แยกต่างกัน มันไม่ได้มีความแบ่งแยกโดยความเป็นคู่ใดๆระหว่างพุทธะและสรรพสัตว์ มันมิได้มีอกุศลกรรมใดๆ แม้ว่าฉันจะกระทำในสิ่งที่เป็นอกุศล และมันก็มิได้มีกุศลกรรมใดๆ แม้ว่าฉันจะบำเพ็ญกุศลทั้งสิบ
ด้วยความพึงพอใจในสิ่งที่เกิด ฉันจึงได้มารายงานต่อท่านคุรุของฉัน ท่านกล่าวว่า "มันเป็นความโง่เขลาจริงๆที่หลงพึงพอใจในประสบการณ์ที่เกิดจากการภาวนา หากเธอคิดว่าปรากฏการณ์และความว่างมิได้แยกต่างกัน เธอก็ควรจะปล่อยวางปรากฏการณ์ทั้งหลาย ใช่มั้ย หากเธอคิดว่า พุทธะและสรรพสัตว์นั้นมิได้แตกต่างกัน เธอก็ควรจะปฏิบัติต่อสรรพสัตว์เช่นเดียวกับที่เธอปฏิบัติต่อพระพุทธเจ้าใช่มั้ย แล้วเธอทำเช่นนั้นหรือเปล่า
หากเธอคิดว่า 'ฉันย่อมไม่ได้รับผลวิบากใดๆแม้ฉันจะกระทำในสิ่งที่เป็นอกุศล' เธอก็ควรจะยอมรับได้ หากคนอื่นกระทำอกุศลทั้งสิบแก่เธอ แม้จะรุนแรงถึงทำให้เธอตาย แล้วเธอยอมรับเช่นนั้น ได้มั้ย หากเธอคิดว่า 'แม้เธอจะประกอบกุศลทั้งสิบ มันก็มิได้เกิดประโยชน์อันใด' เช่นนั้น เธอก็ไม่ควรจะรู้สึกปิติยินดี ยามเมื่อเธอได้รับประโยชน์จากการกระทำกุศลทั้งสิบของผู้อื่น แม้ว่าเขาจะช่วยชีวิตเธอใช่มั้ย
ตอนนี้จงกลับไปในที่วิเวกอีก คราวนี้ให้กายของเธอดำรงอยู่เหมือนซากศพ ให้วาจาของเธอเหมือนคนใบ้ และจิตของเธอคงอยู่เหมือนเช่นท้องฟ้า" แล้วฉันก็ได้ไปอยู่ในสถานที่วิเวกปฏิบัติเช่นนั้น แล้วประสบการณ์ทั้งแปดก็ได้บังเกิดขึ้น
- ประสบการณ์ของความแจ้งชัด, เป็นความใสกระจ่างแห่งความตื่นรู้โดยปราศจากนอกหรือใน แสดงออกเป็นความตื่นรู้อันว่างเปล่าที่ประสานกันเป็นหนึ่ง ไม่ว่าจะหลับตาหรือลืมตา
- ประสบการณ์แห่งความว่าง, เป็นความว่างที่เปิดกว้างโดยไม่มีการจมอยู่ ณ ที่ใดทั้งภายนอกและภายใน จิตไม่ได้เกาะอยู่กับอะไรเลย
- ประสบการณ์แห่งความปีติ, ซึ่งมันคล้ายกับเนยที่ถูกละลายกลายเป็นอิสระและจิตใจอิ่มสุขมาก ไม่มีความรู้สึกว่ามีกายหรือจิตนี้
- สภาพที่ปราศจากความยึดติดในความรู้สึกรับรู้ทั้งหลาย แต่ก็ยังคงมีความมัวหมองด้วยความเหม่อลอยในบางครั้ง
- สภาพแห่งความตื่นรู้ที่คล้ายกับแสงอาทิตย์ที่สะสมในท้องฟ้า
- ประสบการณ์ที่กายนี้คล้ายกับหมอกบางๆไม่มีตัวตนหยาบหรือตัวตนของการกระทำทางกายภาพ
- ความรู้สึกในการตระหนักรู้ได้ถึงความไม่มีตัวตนของตน และผู้อื่น
- บังเกิดความรู้สึกว่า สรรพสัตว์ควรจะได้ตระหนักชัดถึงความหมายที่แท้จริงของจิตเช่นเดียวกับที่ฉันรู้สึก
ด้วยความดีใจในประสบการณ์ที่เกิดขึ้น ฉันจึงได้ไปรายงานให้ท่านคุรุของฉันฟัง ท่านได้กล่าวว่า "มันมีสามวาระในความสมบูรณ์อันยิ่ง (Dzogchen) คือ วาระของการ เกิดเองเป็นเอง (Sponteneous Presence) วาระแห่งความไม่อาจอธิบายได้ (Inconceivability) วาระแห่งความปีติสุขอันยิ่ง (The Great Bliss) ในทั้งสามวาระนี้สิ่งที่เธอเล่ามานั้นคือวาระแรก วาระแห่งการเกิดเองเป็นเอง เมื่อคงอยู่ในความบริสุทธิ์อันสดใหม่เช่นนี้อีกสองวาระก็จะปรากฏ
สังสารวัฏนั้น มีเสน่ห์น่าหลงใหล และจิตนั้นถูกหลอกได้ง่าย จงอย่าได้หลงยึดติดในประสบการณ์ใดที่ปรากฏในการภาวนา แต่เปิดจิตให้กว้างไว้"
ฉันจึงเรียนถามท่านว่า "แล้วคนเราจะเปิดจิตให้กว้างไว้ได้อย่างไร"
ท่านคุรุศรีสิงหะกล่าวตอบว่า " มันมิได้มีความแตกต่างกันระหว่างพุทธะกับสรรพสัตว์นอกไปจากความเห็นแจ้งของจิต สิ่งที่เรียกว่าจิตความรู้สำนึกได้ หรือความตระหนักรู้ได้นั้น ล้วนคือสิ่งเดียวกัน จิตของสรรพสัตว์นั้นคับแคบและจำกัด แต่จิตของพุทธะนั้นแผ่กระจายอย่างกว้างขวาง ดังนั้นจงเปิดจิตกว้างเหมือนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ไร้ขอบเขตจำกัดไม่ว่าจะในทิศเหนือใต้ออกหรือตก"
เมื่อได้รับคำแนะนำเช่นนั้น ฉันจึงได้ปลีกวิเวก เปิดจิตกว้างราวกับอวกาศอันกว้างใหญ่ แล้วความมั่นใจอย่างแรงกล้าได้บังเกิดขึ้นแก่ฉันว่า
- จิตนี้อันปราศจากการปรุงแต่ง และการสลายไปของความคิดดำรงอยู่อย่างสมบูรณ์อย่างที่มันเป็น บนความตื่นรู้อันมั่นคงที่เป็นหนึ่งเดียวกับความว่าง นี่คือสิ่งที่เรียกว่า จิตเดียวตั้งมั่น (One-pointedness)
- จิตนี้ปราศจากความยึดติดในสิ่งต่างๆอย่างสมบูรณ์อยู่แล้ว เปิดกว้างอย่างเต็มที่โดยไม่เกาะอยู่ ณ ที่ใด นี่คือสิ่งที่เรียกว่า สภาพธรรมดาๆ เช่นนั้นเอง (Simplicity)
- ความรู้สึกว่า "มันจะเป็นอะไรได้อีกมั้ย?" ไม่ว่าฉันจะมองมันทางไหน ทั้งหมดก็ล้วนเหมือนกัน ไม่มีสิ่งใดที่ต้องละ ไม่มีสิ่งใดที่ต้องบรรลุถึง นี่คือสิ่งที่เรียกว่า สภาพรสเดียว (One Taste)
- ความรู้สึกว่า "มีอะไรอีกมั้ยที่ต้องค้นหา" มันเป็นเช่นนี้ไม่ว่าจะภาวนาอยู่หรือไม่ ไม่มีอะไรอีกแล้วที่ต้องปฏิบัติ ไม่มีสิ่งใดที่จะต้องภาวนาอีก นี่คือสิ่งที่เรียกว่า ไร้การภาวนา (Non meditation)
แล้วฉันก็บังเกิดประสบการณ์ความแจ้งชัดอย่างหนักแน่นว่า
- มันไม่มีสิ่งใดอื่นไปอีกแล้วนอกจากนี้
- รูปทั้งสองล้วนกำเนิดจากธรรมกาย มันล้วนเป็นการแสดงออกอันหลากหลายของภาพที่เห็นและเสียง เฉกเช่นเปลวไฟและความสว่าง
- การหายใจทั้งเข้าและหายใจออกล้วนเกิดเองเป็นเอง มันมิได้มีแรงผลักดันอะไรมาก่อน
- โดยปราศจากการสร้าง สิ่งต่างๆมากมายก็ยังคงปรากฏ
- มันเป็นสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงเหมือนแก่นแท้ของความว่าง
- มันมิได้มีจิตที่แบ่งแยกโดยความเป็นคู่ แม้เล็กน้อย
- นี่ล่ะคือสิ่งนั้นเอง
ฉันได้บังเกิดความรู้ตื่นรู้อันใสกระจ่าง, บริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์, เปิดกว้างอย่างเต็มที่ ที่แผ่กระจายออกทั่ว - ครอบคลุมไปทั่วทุกหนแห่งและอิสระโดยสิ้นเชิง ประสบการณ์แห่งความใสกระจ่างนั้นเหมือนแสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างไปในท้องฟ้า, ประสบการณ์แห่งความว่างเหมือนอวกาศอันว่างเปล่า และประสบการณ์แห่งความปิติสุขอันยิ่งนั้นเหมือนกับท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ฉันบังเกิดประสบการณ์ขึ้นมากมายซึ่งเหมือนกับคลื่นในทะเล หรือเหมือนกับเมฆในท้องฟ้า
เมื่อได้ประสบกับประสบการณ์เหล่านี้ ฉันได้เล่าให้ท่านคุรุของฉันฟัง ท่านศรีสิงหะ คุรุของฉันจึงได้กล่าวว่า "ธรรมชาติที่แท้ของทุกสิ่งนั้นว่างเปล่า ปราศจากสิ่งใดที่จะประสบได้ แล้วเช่นนั้นอะไรที่เธอได้ประสบมาล่ะ? อะไรล่ะที่ไปรับรู้? แล้วเธอปลื้มปิติอะไรขนาดนั้น? ตัวฉันเองไม่ได้ประสบอะไรเลย หรือเธอบรรลุถึงบางสิ่งที่สูงส่งกว่านั้น
"ประสบการณ์ของเธอ คือการบรรลุในสิ่งที่แตกต่างจากพระพุทธเจ้าในกาลทั้งสาม การหลงยึดติดในสิ่งที่ประสบ เธอควรรู้ไว้เถิดว่า นั่นกำลังถูกล่อลวงจากมาร"
"ประสบการณ์ทั้งหลายของเธอล้วนเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการปรุงแต่ง มันก็ยังคงผ่านมาแล้วก็ผ่านไป มันจะไม่ทำให้เธอเผชิญกับความทุกข์ยากได้ มันเป็นเพียงทิฐิที่ดีที่ครอบคลุมทุกสิ่ง แต่เธอยังไม่ได้แก้ปมความคิดปรุงแต่ง มันเหมือนกับการยังมีโรคที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน เธออาจจะเกิดปีติสุขในปัจจุบัน แต่มันก็ช่วยอะไรเธอไม่ได้เพราะเธอยังไม่ได้เข้าไปถึงแก่นของมัน ปีศาจแห่งความหลงก็ยังคงวงเวียนอยู่ในภายในเธอ"
"หากเธอคิดว่าสภาวะต่างๆที่ประสบในการภาวนานั้น มันวิเศษ เธอก็ไม่สามารถรู้แจ้งเห็นจริงได้ถ้ายังติดจมอยู่ในทิฐิเช่นนี้ หากเธอปล่อยใจให้หลงใหลไปกับสภาวะต่างๆของสมาธิ หลงคิดว่าไม่มีอะไรจะสูงส่งกว่านี้อีกแล้ว หลงคิดว่ามันเป็นความสมบูรณ์ของสมาธิ นั่นเธอไม่ได้ตัดขาดจากพฤติกรรมของความคิดปรุงแต่ง เธอจะยังไม่แจ้งชัดในประสบการณ์ในขั้นต่างๆของการภาวนาอย่างครบถ้วน และความมัวหมองของอวิชชาก็ยังไม่หมดสิ้นไป"
" ประสบการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในการภาวนา มันเป็นสิ่งที่น่าตื่นตาเพียงชั่วคราว การหลงคิดว่ามันเป็นความจริงหนึ่งเดียว นั่นเธอกำลังถูกบดบัง เมื่อความจริงแท้อันเป็นสิ่งซึ่งปราศจากความยึดมั่นถือมั่น และการแปรเปลี่ยนใดๆ ถูกบดบัง ความยึดมั่นถือมั่นและความไม่เที่ยงนั้นจะพลิกผันสภาวะอันน่ายินดีของเธอทั้งหลายนั้น ให้กลายเป็นความผิดเพี้ยนออกนอกทาง"
"หากเธอยึดติดอยู่ในความใสกระจ่างของจิต และหลงคิดว่ามันสูงส่ง เธอก็จะไปติดอยู่ในรูปภพ หากเธอหลงยึดติดในสภาวะอันว่างเปล่าของการไร้ความคิดและหลงคิดว่ามันสูงส่ง เธอก็จะไปติดอยู่ในอรูปภพชั้นสูง หากเธอยึดติดอยู่ในความปีติอันยิ่งนั้น และหลงคิดว่ามันสูงส่ง เธอจะไม่บรรลุถึงอะไรเลยนอกจากไปติดอยู่ในกามภพชั้นสูง ซึ่งทั้งหมดนี่ ไม่มีอะไรเลยที่จะยังผลให้เธอบรรลุสู่ความสำเร็จในทางธรรมอันสูงสุดของมหามุดราหรือความรู้แจ้งหลุดพ้นอันสูงสุดได้"
ฉันจึงได้เรียนถามท่านว่า "หากเป็นเช่นนั้น กระผมควรจะฝึกตนอย่างไรต่อ?"
ท่านตอบว่า "จงตื่นแจ้งต่อจิตเดิมแท้ของเธอ แล้วค่อยกลับมาหาฉัน"
ฉันจึงถามต่อว่า "แล้วผมจะทุ่มเทการปฏิบัติลงไปกับอะไร?"
ท่านตอบว่า "จงทุ่มเทการปฏิบัติทั้งหมดลงไปบนความไร้ซึ่งการพยายามใดๆ"
ฉันถามต่อว่า "แล้วผมจะภาวนาอย่างไรโดยไร้การพยายาม"
ท่านคุรุจึงตอบว่า "เจ้าลูกชายคนเก่ง จงตั้งใจฟังให้ดี จงอย่าได้หลงยึดว่า ประสบการณ์อันชั่วคราวทั้งหลายนั้นเป็นสิ่งสูงส่ง อย่าได้ติดใจมันเลย ไม่ต้องจ้องมองวัตถุธาตุใดๆ ไม่ต้องจ้องมองแม้กระทั่งจิต อย่าได้เข้าไปยุ่งวุ่นวายกับสิ่งต่างๆ อย่าสร้างความอยากความต้องการในสิ่งใดทั้งสิ้น อย่าปล่อยให้ความปรารถนาครอบงำจิตใจ อย่าปล่อยใจไปกับความสิ้นหวัง จงปล่อยให้จิตเป็นอย่างที่มันเป็นตามธรรมชาติ ให้จิตพักและผ่อน คลายราวกับศูนย์กลางแห่งความว่าง"
เมื่อได้รับคำแนะนำเช่นนั้น ฉันจึงปลีกวิเวกและทำตามที่ท่านแนะนำ แล้วฉันจึงเห็นแจ้งชัดว่า ประสบการณ์ต่างๆที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ล้วนไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเป็นเพียงแค่สังขารปรุงแต่งในลำดับขั้นต่างๆแล้วมันก็สลายหายไปอย่างสิ้นเชิง ฉันจึงได้แจ้งชัดในธรรมชาติที่แท้จริงของจิต ที่มิได้ถูกบดบังจากกุศลหรืออกุศลใดๆอีก ปราศจากแล้วอย่างสิ้นเชิงซึ่งสิ่งใดที่จะต้องภาวนา หรือสิ่งใดๆที่จะก่อให้เกิดความหลงอีก
ฉันแจ้งชัดว่าไม่ว่าจะพยายามพัฒนาจิตเช่นนี้อย่างไรอีก ก็ไม่มีผลใดๆที่จะเกิดขึ้น และหากไม่ได้พยายามพัฒนาอะไรเลย มันก็มิได้มีความหลงหรือความสับสนใดๆฉันแจ้งชัดว่าจิตธรรมชาตินี้ปราศจากความมัวหมองโดยสิ้นเชิง เป็นความตื่นรู้อันใส่กระจ่างและว่างเปล่า เมื่อแจ้งชัดในจิตอันเปิดกว้างบริสุทธิ์สิ้นเชิง และรสอันเดียวกันของทั้งสังสารวัฏและนิพพาน ฉันจึงได้กลับไปรายงานคุรุของฉัน
ท่านคุรุกล่าวว่า "ธรรมชาติดั้งเดิม ซึ่งคือธรรมกายอันปราศจากการปรุงแต่งใดๆ เป็นจิตที่บริสุทธิ์และว่างเปล่าเช่นนั้นซึ่งปราศจากสิ่งใดให้ภาวนาและสิ่งใดที่จะก่อให้เกิดความหลง ตอนนี้อย่าทำตนให้มัวหมองด้วยความอยากใดๆอีก จงนำจิตที่เคยถูกครอบงำไปด้วยตัณหาให้คงอยู่ในสภาพที่ไร้ความปรารถนาใดๆโดยสิ้นเชิง"
"ด้วยการดำรงอยู่ในสภาพที่รู้จักกันในนามว่า มิได้ต้องฟูมฟักหรือสร้างขึ้น แต่ก็มิได้แยกห่าง การที่ดำรงอยู่โดยมิได้แยกห่างจากธรรมชาติอันนอกเหนือการสร้างขึ้นนี้ เธอจะบรรลุถึงซึ่งสิทธิทั้งหลาย ทั้งสิทธิธรรมดาและสิทธิชั้นสูง (Common and Supreme Siddhis) แล้วตอนนี้ยังมีอะไรที่รบกวนจิตใจเธออีกมั้ย"
ฉันตอบว่า "ไม่มีสิ่งใดที่รบกวนจิตใจผมอีก เนื่องเพราะผมไม่มีข้อผิดพลาดหรือสิ่งที่ต้องเสียใจใดๆในสมายาของผม"
ท่านคุรุจึงถามฉันว่า "แล้วเธอยังมีความไม่พอใจอะไรอีกมั้ย"
ฉันตอบว่า "มีเล็กน้อยครับ"
ท่านคุรุจึงกล่าวต่อว่า "หากเธอรู้สึกไม่พอใจ นั่นแสดงว่าเธอเคยมีความหวัง หากเธอรู้สึกพอใจนั่นแสดงว่าเธอมีความกลัว หากเธอมีความหวังและความกลัวเช่นนั้น นั่นแสดงว่าเธอยังหลงยึดติดอยู่ในความเป็นคู่ ซึ่งมันจะบดบังปัญญาแห่งความเบิกบานอันยิ่ง อันนอกเหนือความเป็นคู่ทั้งปวงซึ่งเป็นผลอันบริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง จงตั้งมั่นอยู่บนความนอกเหนือความเป็นคู่ ปราศจากความคิดว่าสิ่งนั้นถูกหรือผิด จากนี้ไปให้ทำต่อไปเรื่อยๆโดยไม่ต้องกลับมาหาฉันอีก"
จากนั้น ฉันจึงได้ไปปฏิบัติในเมืองเล็กๆของโอธิยาน และไม่มีความรู้สึกสงสัยใดๆที่จะต้องมาถามอีกแม้เล็กน้อย ไม่ว่าจะเรื่องการอุทิศผลของประสบการณ์ต่างๆ เรื่องกุศลหรืออกุศล เรื่องถูกหรือผิด ฉันแค่เพียงเดินทางไปในที่ต่างๆที่ฉันไป แค่เพียงนั่งในแบบที่ฉันนั่ง ฉันกลายเป็นเหมือนซากศพ(คือมิได้ตัดสินหรือให้ค่ากับสิ่งใดๆที่รับรู้)
แล้วท่านคุรุก็มาหาและถามฉันว่า "นั่นเธอจะไม่ทำความเคารพสักการบูชาฉันเหรอ? นั่นเธอจะไม่รายงานความรู้แจ้งต่างๆให้ฉันฟังอีกแล้วเหรอ?"
ฉันตอบว่า "นี่ไม่ใช่การไม่แสดงความเคารพ กระผมไม่เคยมีความรู้สึกแม้แค่ปลายเส้นผมที่จะไม่เคารพสักการะบูชาท่าน แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันเหมือนกับร่องรอยของนกที่บินไปในอากาศ"
ท่านคุรุจึงได้กล่าวว่า "การรู้แจ้งเช่นนั้นจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีกแล้ว จงอย่าละทิ้งมัน จงไปในทุกที่ที่เธอปรารถนา โดยไม่แยกต่างจากความรู้แจ้งนี้ รักษาการดำรงตนตามหลักของพระไตรปิฎกรักษาการภาวนาให้สอดคล้องกับมนตราศักดิ์สิทธิ์ รักษาทิฐิของตนให้สอดคล้องกับความสมบูรณ์อันยิ่ง จงช่วยเติมเต็มสรรพสัตว์(ให้พ้นทุกข์) ราวกับแก้วสารพัดนึก จงเกื้อกูลสานุศิษย์ผู้คู่ควรแก่ธรรมจำนวนมากมาย
แม้ว่าเธอจะไม่มีความอยากได้ดีมีเป็นอะไรแล้ว จงสักการบูชาคุรุ องค์เทพยิดแดม และเทพธิดาด๊ากกินีอยู่เป็นประจำ เธอจะเป็นคนที่เหล่าเทพเทวดาและปีศาจทั้งหลาย คอยปกป้องดูแลราวกับทาสรับใช้" เมื่อกล่าวจบท่านคุรุก็ได้จากไป
หลังจากนั้น สัจธรรมที่ว่า 'ทุกสิ่งนั้นล้วนเป็นดั่งเช่นความฝัน เป็นดั่งมายา จิตเองนั้นนอกเหนือการเกิดและตาย' ได้ตั้งมั่นอยู่ในใจของฉัน ฉันได้บังเกิดนิมิตขององค์เทพเหรุกะสัทธานะทั้งแปด เหล่าองค์เทพทั้งแปดชั้น และภูตผีปีศาจทั้งหลายได้กลายเป็นข้ารับใช้ของฉัน ฉันจึงได้เดินทางไปทั่วอินเดียเพื่อยังประโยชน์แก่สรรพสัตว์ (หน้า 19-35)
ตัวฉัน ปัทมะแห่งโอธิยาน
ผู้เดินตามแนวทางของท่านศรีสิงหะ คุรุของข้าฯ
คำแนะนำสุดท้ายนี้
ทำให้ฉัน,ปัทมะ,บังเกิดความรู้แจ้งหลุดพ้นอย่างสมบูรณ์
แม้ว่าจะไม่ได้บรรลุหลุดพ้นด้วยพระไตรปิฎก หรือ มนตราศักดิ์สิทธิ์
แต่ฉันก็บรรลุหลุดพ้นด้วยคำสอนอันศักดิ์สิทธิ์นี้
ขอให้ผู้ที่มีคุณธรรมคู่ควร จงได้หลุดพ้นด้วยคำสอนนี้
ขอให้คำสอนโดยตรงอันสุดท้ายของท่านคุรุศรีสิงหะนี้
จงได้พบกับบุคคลผู้คู่ควร ผู้ได้เคยสร้างสมบารมีมาก่อน
คำสอนนี้ได้ถูกเก็บซ่อนไว้ในถ้ำดอกบัวแก้ว
ฉันขอฝากมันไว้แก่เธอ Shampo (Daklha Shampo เป็นเทพหนึ่งของทิเบต ผู้ปกป้องคำสอนศักดิ์สิทธิ์ของท่านคุรุปัทมะสัมภาวะ)
หากมีผู้ไม่คู่ควรเข้ามา ขอให้มันอย่าได้ปรากฏแก่เขา ราวกับไม่ได้มีคำสอนนี้อยู่ในโลกนี้
SAMAYA
SEAL SEAL SEAL
SEAL OF ENTRUSTMENT
SEAL OF SECRACY
ITHI
แปลจาก The Treasure of the Lotus Crystal Cave - The Direct Instruction of Shri Singha : หนังสือ Treasures from Juniper Ridge (หน้า 36-37)
หนังสือ
หนังสือปรัชญา
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย