Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
WorldScope
•
ติดตาม
7 ต.ค. เวลา 07:59 • ข่าวรอบโลก
🇹🇭 ไทยเคาะมาตรการ “คูปองร่วมจ่าย” 44,000 ล้านบาท กระตุ้นกำลังซื้อ พลิกเกมเศรษฐกิจ
💸 Thailand Cabinet Approves Bt44bn “Co-Payment” Stimulus To Revive Consumption
📖 เรื่องราวเบื้องหลัง (เหมือนนิยายแฝงนโยบาย)
ในเช้าวันอังคารที่ 7 ตุลาคม 2568 รัฐบาลไทยได้ตัดสินใจก้าวใหญ่ — อนุมัติโครงการ “คูปองร่วมจ่าย” (Co-Payment) มูลค่า 44,000 ล้านบาท เพื่อหวังดึงฟื้นกำลังซื้อในประเทศ ในยุคที่เศรษฐกิจถูกแรงกดจากหลายทาง ทั้งอัตราแลกเปลี่ยนแข็ง แรงกดดันภาระหนี้ครัวเรือน และสงครามการค้ากับสหรัฐฯ
นโยบายนี้ให้ประชาชนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมได้รับการสนับสนุนสูงสุดถึง 60% สำหรับค่าอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคบางประเภท — แนวคิดคือให้ “รัฐ-ประชาชนร่วมจ่าย” เพื่อให้ปลายทางคือ “เงินหยดในมือผู้บริโภค” ไหลเข้าตลาดและธุรกิจรายย่อย
จากคำกล่าวของนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นโยบายนี้อาจช่วยดัน GDP ขึ้นได้ 0.4 จุดเปอร์เซนต์ และช่วยให้ไตรมาส 4 ของปีนี้เศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวได้มากกว่า 1% (เคยคาดไว้ที่ 0.3%)
ทันทีที่ข่าวนี้เผยออกไป ดัชนี SET ก็ทะยานขึ้น ~1.2% — เป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา
🔍 วิเคราะห์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย
1. กระตุ้นภาคฐานราก — ช่วยคนตัวเล็ก-ร้านเล็ก
มาตรการคูปองนี้มุ่งเจาะไปที่คนรายได้ปานกลางถึงล่าง ซึ่งมักมีพลังซื้อจำกัด เมื่อนำเงินไปใช้ จะเกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจในระดับชุมชน ร้านค้ารายย่อยจะได้ประโยชน์ทันที
2. เติมน้ำมันให้ “เครื่องยนต์ภายในประเทศ”
เมื่อผู้บริโภคลดความกังวลเรื่องงบประมาณ มักจะซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ของกิน เครื่องใช้ในบ้าน ซึ่งช่วยหนุนยอดขายของธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง
3. ความเสี่ยงเรื่องงบประมาณและหนี้สาธารณะ
นโยบายเหล่านี้ต้องอาศัยเงินกู้หรือใช้งบประมาณรัฐเพิ่ม — หากบริหารไม่ดี อาจเพิ่มภาระหนี้หรือส่งผลต่อดุลการคลัง
4. ผลในระยะสั้นมากกว่ายาว
ผลดีจะออกมาเร็วสุดใน 3-6 เดือนหลังใช้โครงการ — แต่ถ้านโยบายตามมาไม่ต่อเนื่อง หรือตลาดโลกช็อกหนัก ก็อาจจบแค่การ “ปัดฝุ่น” ชั่วคราว
📈 วิเคราะห์หุ้นไทยที่อาจ “ได้อานิสงส์” จากมาตรการ
หมายเหตุ: แฟรมนโยบายอาจเข้าไม่ถึงทุกบริษัท — ต้องตรวจว่าบริษัทเกี่ยวข้องกับสินค้าอุปโภคบริโภค ร้านค้าปลีก หรือธุรกิจในเครือชุมชนจริงไหม
🌾 กลุ่มค้าปลีก / ร้านสะดวกซื้อ / ไฮเปอร์มาร์เก็ต
หุ้นอย่าง CPAXT (ซีพี แอ็กซ์ตร้า เดิมชื่อ MAKRO) และ CPALL (ซีพี ออลล์ เจ้าของ 7-Eleven) มีโอกาสได้ยอดขายเพิ่ม เมื่อประชาชนมีเงินในมือมากขึ้น
🍽 อาหาร / เครื่องดื่ม / ร้านอาหาร
บริษัทในกลุ่มธุรกิจอาหาร เช่น M (เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป), SAPPE (เซ็ปเป้), CBG (คาราบาวกรุ๊ป), TKN (เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง) อาจถูกดึงเม็ดเงินไปหมุนในภาคนี้
🛒 ธุรกิจค้าส่งและบรรจุภัณฑ์ / เกษตรแปรรูป
เช่น BJC (เบอร์ลี่ ยุคเกอร์), TVO (น้ำมันพืชไทย), KSL (น้ำตาลขอนแก่น), CPF (เจริญโภคภัณฑ์อาหาร) — เพราะส่วนหนึ่งของเงินคูปองอาจไหลผ่านร้านค้าและผลิตภัณฑ์แปรรูป
🏨 ท่องเที่ยว / โรงแรม / ธุรกิจบริการ
มาตรการคูปองร่วมจ่าย 44,000 ล้านบาทมีแนวโน้มหนุนกลุ่มท่องเที่ยวและบริการให้ฟื้นตัว โดยเฉพาะหุ้น CENTEL (โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา), ERW (ดิ เอราวัณ กรุ๊ป), MINT (ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล), SHR (เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท), AOT (ท่าอากาศยานไทย), SPA (สยามเวลเนสกรุ๊ป) ที่สะท้อนการกลับมาของกำลังซื้อและการเดินทางในประเทศชัดเจนที่สุด
📊 ผู้ให้สินเชื่อรายย่อย / สินเชื่อเพื่อผู้บริโภค
ธุรกิจพวกรายย่อยซึ่งคนที่ได้รับคูปองอาจใช้บัตรเครดิต/สินเชื่อต่อยอด — บริษัทอย่าง MTC (เมืองไทย แคปปิตอล), SAWAD (ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น) หรือบริษัทสินเชื่อรายย่อยอื่นอาจได้ผลบวก
📉 กลุ่มที่อาจโดนกดดัน
ธุรกิจที่พึ่งพาการส่งออกหนัก หรืออุตสาหกรรมแบบต้นน้ำซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศ อาจไม่ได้รับประโยชน์มาก หุ้นที่อาจถูกกดดันจากมาตรการนี้คือกลุ่มส่งออกและอุตสาหกรรมต้นน้ำ เช่น HANA (ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส), KCE (เคซีอี อีเลคโทรนิคส์), DELTA (เดลต้า อีเลคโทรนิคส์), SAT (สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี), STANLY (ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า) ซึ่งอิงตลาดต่างประเทศมากกว่าการบริโภคในประเทศ
🔄 “Ripple Effect” ต่อหุ้นและตลาดโดยรวม
เมื่อหุ้นกลุ่มบริโภคดี ตลาดอาจเกิดกระแส “หมู่มาก” ที่ดึงดูดนักลงทุนรายย่อย — ส่งผลให้หุ้นนั้นๆ วิ่งจนมีแรงเทขายช่วงท้าย
นักลงทุนต่างชาติอาจมองว่านโยบายการคลังเสี่ยง — ถ้าเห็นว่าสมดุลงบดุลการคลังสั่นคลอน อาจขายหุ้นไทยช่วงหวั่นไหว
ถ้ามาตรการนี้อยู่ยาวหรือมีการต่อยอด เช่น ขยายกลุ่มสินค้าที่ร่วมคูปอง หรือเชื่อมโยงกับมาตรการด้านท่องเที่ยว จะช่วยเปลี่ยนโครงสร้างการลงทุนให้หันเข้าสู่ “เล่นในประเทศ (Domestic Play)” มากขึ้น
ถ้าโครงการไม่มีความชัดเจนหรือขาดประสิทธิภาพ ความคาดหวังอาจสูงเกินจริง — เกิดแรงเสียดกลับ (Disillusionment) ได้
✅ สรุปและมุมมองต่อไป
มาตรการคูปองร่วมจ่าย 44,000 ล้านบาทเป็น “ไม้ตาย” ที่รัฐบาลใหม่ถือไว้สำหรับจุดประกายให้เศรษฐกิจกลับมามีแรงหมุนของเงินภายในประเทศโดยเร็วที่สุด
ในระยะสั้น — หุ้นกลุ่มบริโภค ร้านค้า อาหารและบริการมีโอกาสได้รับอานิสงส์
ในระยะกลางถึงยาว — ความสำเร็จขึ้นอยู่กับการออกแบบเงื่อนไข ปริมาณผู้เข้าร่วม ความยั่งยืนและการเชื่อมโยงกับนโยบายอื่น
💬 คุณคิดเห็นอย่างไรคะ — มาตรการนี้ “พอจะจุดประกาย” ตลาดหุ้นไทยได้ไหม? หรือมีจุดอ่อนอะไรที่อาจทำให้ไฟดับก่อนถึงเส้นชัย
แชร์มุมมองของคุณกันได้เลยนะคะ
✳️ Hashtags
#BattleOfEconomies #ThailandStimulus #CoPayment #ThaiEconomy #GDP #HouseholdDebt #StrongBaht #ThaiStocks #SET #PolicySignal #ConsumerSpending #RippleEffect #StockAtlas #GlobMaps
✦ Reference: Reuters
https://www.reuters.com/world/asia-pacific/thai-cabinet-approves-14-bln-stimulus-programme-boost-growth-2025-10-07/
ข่าวรอบโลก
ประวัติศาสตร์
การลงทุน
บันทึก
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ศึกโลกเศรษฐกิจ (Battle of Economies)
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย