8 ต.ค. เวลา 04:29 • ข่าวรอบโลก

💥 ศาลสั่ง J&J จ่าย 966 ล้านดอลลาร์ คดีแป้งเด็กก่อมะเร็ง เขย่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคทั่วโลก

🌎 J&J Ordered To Pay Record $966 Million In Talc Baby Powder Cancer Case
🧩 จุดแตกหักในคดีที่ยืดเยื้อกว่า 15 ปี
เสียงค้อนศาลดังสนั่นในลอสแอนเจลิส เมื่อคณะลูกขุนตัดสินให้ Johnson & Johnson (J&J) ต้องจ่ายค่าชดเชยรวมกว่า 966 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 35,000 ล้านบาท) ให้ครอบครัวของ Mae Moore หญิงวัย 88 ปีที่เสียชีวิตจากโรค Mesothelioma ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากการใช้ “แป้งเด็ก” และ “Shower-to-Shower” ของ J&J มาทั้งชีวิตกว่า 80 ปี
การตัดสินนี้ถือเป็น คดีที่มีมูลค่าสูงสุดสำหรับผู้ใช้รายเดียว นับตั้งแต่เริ่มการฟ้องร้องกว่า 70,000 คดีทั่วสหรัฐฯ ในประเด็นแร่ใยหิน (Asbestos) ปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์แป้งทัลก์ ซึ่งมีรายงานว่า J&J ทราบปัญหานี้มาตั้งแต่ยุค 1970 แต่เลือกปกปิดไว้
⚖️ เมื่อศาลสั่ง... J&J ยังไม่ยอมแพ้
ฝั่งบริษัทออกแถลงการณ์ทันทีว่าจะ “อุทธรณ์อย่างเร่งด่วน” โดยให้เหตุผลว่าคำตัดสินนี้ “ไม่สอดคล้องกับหลักกฎหมาย” และ “ขัดกับคดีอื่นที่ศาลตัดสินว่า J&J ไม่ผิด”
แต่เสียงจากทนายของครอบครัว Moore กลับสะท้อนอีกมุมว่า “นี่คือชัยชนะของผู้บริโภคทั่วโลกที่ยืนยันว่าความจริงไม่สามารถถูกปกปิดได้ตลอดไป”
การต่อสู้ระหว่าง “อำนาจทุน” และ “ศรัทธาผู้บริโภค” กำลังกลายเป็นบทเรียนใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามโลก
🌫️ รอยร้าวของความเชื่อมั่นในแบรนด์ระดับโลก
แม้ J&J จะพยายามแยกธุรกิจผู้บริโภคไปยังบริษัทใหม่ชื่อ Kenvue และถอนแป้งทัลก์ออกจากตลาดทั่วโลกตั้งแต่ปี 2023 แต่ผลกระทบต่อ “ความเชื่อมั่น” ไม่ได้จบลงง่ายๆ เพราะคำพิพากษานี้ ตอกย้ำภาพลักษณ์ด้านลบต่อบริษัทข้ามชาติในสายผลิตภัณฑ์สุขภาพ
หลายองค์กรในยุโรปและเอเชียเริ่มพิจารณามาตรการตรวจสอบวัตถุดิบและกระบวนการผลิตสินค้าส่วนบุคคลอย่างเข้มงวดมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายในระดับโลก
🇹🇭 ผลกระทบเชิง “Ripple Effect” ต่อไทย
แม้คดีนี้จะเกิดในสหรัฐฯ แต่แรงสั่นสะเทือนกระทบต่อ ผู้บริโภคไทยและตลาดหุ้นไทย (SET) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
💠 1. กลุ่มสุขภาพและความงาม (Health & Personal Care)
นักลงทุนเริ่มจับตา BEAUTY (บิวตี้ คอมมูนิตี้) และ DOD (ดีโอดี ไบโอเทค) ซึ่งมีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงามและสุขภาพที่ผู้บริโภคสัมผัสโดยตรง ประเด็น “ความโปร่งใสด้านส่วนผสมและแหล่งผลิต” จะกลายเป็น จุดขายใหม่ของแบรนด์ไทย หากสื่อสารได้อย่างชัดเจนและตรวจสอบได้จริง
💠 2. กลุ่มบรรจุภัณฑ์และอุตสาหกรรมต้นน้ำ (Industrial & Packaging)
บริษัทที่ผลิตวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ เช่น TPAC (พลาสติค และหีบห่อไทย) และ SCGP (เอสซีจี แพคเกจจิ้ง) อาจได้รับโอกาสใหม่จากความต้องการสินค้าที่ “ปลอดภัยต่อสุขภาพ” และ “ตรวจสอบย้อนกลับได้” ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ทั่วโลกกำลังหันมาให้ความสำคัญ
💠 3. กลุ่มโรงพยาบาลและสุขภาพ (Healthcare & Diagnostics)
คดีนี้ยังช่วยกระตุ้นความตื่นตัวด้าน “การตรวจหาสารก่อมะเร็ง” ในสินค้าและสิ่งแวดล้อม ทำให้หุ้นในกลุ่ม BDMS (กรุงเทพดุสิตเวชการ) และ RAM (โรงพยาบาลรามคำแหง) มีแนวโน้มได้รับแรงหนุนจากความต้องการตรวจสุขภาพเชิงลึกและการวินิจฉัยมะเร็งในระยะเริ่มต้น
🧠 มิติทางสังคม: เมื่อความเชื่อมั่นคือสินทรัพย์ที่ประเมินค่าไม่ได้
เหตุการณ์นี้สะท้อนว่า “แบรนด์ยักษ์ใหญ่ก็ไม่อาจอยู่เหนือศรัทธาของผู้บริโภค” เมื่อความโปร่งใสและความรับผิดชอบต่อสุขภาพมนุษย์กลายเป็นหัวใจหลักของโลกยุคใหม่
การลงทุนใน “คุณธรรมของแบรนด์” อาจเป็น กลยุทธ์ธุรกิจที่ยั่งยืนกว่าโฆษณาหรูหรา
🔍 สำหรับนักลงทุนไทย - บทเรียนจากคดี J&J
นี่คือสัญญาณให้บริษัทไทยหันมาสร้าง “ระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability)” ตั้งแต่แหล่งผลิตถึงผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอาง อาหารเสริม หรือผลิตภัณฑ์สุขภาพ เพราะในยุคที่ข่าวเดินทางเร็วกว่าแสง “ความไว้วางใจ” คือสินทรัพย์ที่สำคัญที่สุด
💬 คำถามชวนคิดส่งท้าย
คุณคิดว่า “คำพิพากษา 966 ล้านดอลลาร์” นี้จะเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคทั่วโลกอย่างไรบ้าง?
และบริษัทไทยพร้อมหรือยัง...ที่จะพิสูจน์ว่า “ความปลอดภัยของผู้บริโภค” สำคัญกว่ากำไรระยะสั้น?
ร่วมแสดงความคิดเห็นกับเราได้นะคะ
🏷️ Hashtags
#WorldScope #BehindTheVerdict #ConsumerJustice #ProductSafety #CorporateAccountability #TalcLitigation #JJCase #LegalLandmark #RippleEffectThailand #StockInsight #StockAtlas #GlobMaps
โฆษณา