Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
PPTV Wealth
•
ติดตาม
11 ต.ค. เวลา 09:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
เตือน! ไทยเข้าสู่จุดเปลี่ยน อุตสาหกรรมหลักกำลังหมดยุค เศรษฐกิจครึ่งหลังน่าห่วง
เตือน! ไทยเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ อุตสาหกรรมแกนหลักกำลังหมดยุค ชี้ ยานยนต์-อิเล็กทรอนิกส์-เกษตร ไม่รอด เศรษฐกิจครึ่งปีหลังน่าห่วง
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวในการบรรยายพิเศษหัวข้อ “เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทย จะเป็นอย่างไรในยุคการค้าโลกป่วน ภูมิอากาศเปลี่ยน และเทคโนโลยี AI กำลังมาแรง” ภายในงานสัมมนาวิชาการประจำปี Energy Symposium 2025 ที่จัดขึ้นโดย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
โดยนายกอบศักดิ์ กล่าวว่า ปัจจุบัน โลกกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านสำคัญที่สุดในศตวรรษ ซึ่งผู้คนทั่วโลกรวมทั้งในภาคอุตสาหกรรมก็ถือว่าเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญเช่นเดียวกัน
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ภายในงานสัมมนาวิชาการประจำปี Energy Symposium 2025
ดังนั้นในมุมมองของตนเอง จึงมองว่าอุตสาหกรรมไทยต้องเร่งปรับตัว ซึ่งไม่ใช่เรื่องของความยั่งยืนและเรื่องของพลังงานอย่างเดียว แต่มันเป็นภาพรวมทั้งหมดของประเทศไทยที่ต้องเร่งเปลี่ยนแปลง
ส่วนอุตสาหกรรมที่ถือว่าเป็นแกนหลักของประเทศไทย ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมปิโตรเลียม รวมถึงอุตสาหกรรมด้านการเกษตร
แต่ในปัจจุบันอุตสาหกรรมต่างๆเหล่านี้เริ่มหมดยุค อย่างอุตสาหกรรมยานยนต์ก็เริ่มตกยุค อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ก็เริ่มจากเราไปเยอะมาก ตัวอุตสาหกรรมเหล็กก็ขาดทุน ขณะที่อุตสาหกรรมปิโตรเลียมก็กำลังเป็นเป้าหมายในการลดคาร์บอน และอุตสาหกรรมด้านการเกษตรก็ไม่ใช่ว่าจะรอด เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เราเคยคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ วันนี้มันกลับเป็นไปได้ ดังนั้น ประเทศไทยต้องเร่งเปลี่ยนหรือว่าปรับประตูอุตสาหกรรมทั้งหมดที่มี และเตรียมตัวเข้าสู่ยุคใหม่
จะเห็นได้จากอัตราการเติบโตของ ภาคการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมที่พบว่าโตค่อนข้างต่ำ ซึ่งควรจะโตประมาณ 10% แต่ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ที่ผ่านมาพบว่าโตเพียง 1.3% เท่านั้น สะท้อนว่าประเทศไทยกำลังก้าวต่อไปได้ยาก ถึงแม้ว่าภาพรวมของโรงงานและภาคอุตสาหกรรมในบางส่วนจะโตขึ้น แต่ก็มีอีกจำนวนหนึ่งที่ปิดตัวลง
"สิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยทั้งหมดในตอนนี้และเราหนักใจที่สุด คือแก่นของเศรษฐกิจ นั่นก็คืออุตสาหกรรมต่างๆเหล่านี้ ที่เป็นตัวขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจของไทยจะเดินหน้าต่อไปได้ แต่ปัจจุบันกลับพบว่าเสื่อมลงเรื่อยๆ ทั้งเรื่องส่งออกก็ไม่ดี รายได้ของคนก็ไม่เพิ่มขึ้น ภาษีก็เก็บไม่ได้ การพัฒนาประเทศก็ล่าช้า ทำให้เห็นว่าอุตสาหกรรมต่างๆเหล่านี้กำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ ที่เราจะต้องเปลี่ยนให้ได้ และไม่ใช่แค่เรื่องพลังงานอย่างเดียวแต่คือโครงสร้างทั้งหมดที่เราต้องเปลี่ยนร่วมกัน"
นอกจากนี้นายกอบศักดิ์ ได้กล่าวถึง ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกด้วยว่า ในปีนี้เศรษฐกิจโลกเผชิญความท้าทายเหมือนกันหมด แต่ก็ถือว่ายังไปต่อได้จะเห็นได้จากประมาณการตัวเลขการค้าโลกอยู่ที่ 2.4% แต่เรื่องที่น่ากังวลคือในปี 2569 ประมาณการการค้าโลกถูกปรับลดลงเหลือเพียง 0.5% เท่านั้น ขณะที่การส่งออกของไทยปีนี้คาดการณ์ว่าจะโต 10% แต่ปีหน้าจะโต 0%
ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศจีนก็เผชิญกับปัญหาเช่นเดียวกัน ที่พบว่าขณะนี้โตเพียง 5% ซึ่งตามหลักแล้วอาจจะต้องโตมากกว่านี้ และการส่งออกของจีนโตเพียง 4.4% และที่สำคัญคือการนำเข้าของประเทศจีนในขณะนี้โตอยู่ที่ 1.3% สะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจของจีนอยู่ในภาวะที่ชะลอลง ส่งผลให้ไทยต้อฃคิดหนักหากจะทำการทำการค้ากับจีน
"IMF ระบุว่า เศรษฐกิจของจีนค่อยๆชะลอลงอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันตลาดใหม่ก็จะกลายเป็นอินเดีย การเจริญเติบโตของจีนจะไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกต่อไปและอินเดียคือเป้าหมายใหม่ ซึ่งสะท้อนเห็นว่าโลกกำลังจะเปลี่ยนแปลง"
ขณะที่ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับความท้าทาย โดยนายกอบศักดิ์ ระบุว่า ปีนี้ คาดว่าจะ เศรษฐกิจไทยจะโตได้เพียง 2% ซึ่งครึ่งแรกโตไปแล้ว 3% และครึ่งหลังก็คาดว่าจะโตได้อีกเพียง 1% เท่านั้น
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเคยเตือนไว้ ว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 สัญญาณจะไม่ค่อยดี จากในไตรมาส 1 ที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 3.2% ในไตรมาส 2 ลดลงมาเหลือ 2.8% ในไตรมาสที่ 3 ลดลงมาอีกเหลือ 1.7% ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 4 นี้ มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้เพียง 0.3% เท่านั้น
"จากตัวเลขดังกล่าวจึงสะท้อนเห็นว่าประชาชนควรทำใจ ว่าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้เศรษฐกิจไทยจะไม่ดี ภาคส่งออกที่เคยมีสัญญาณดีในต้นปีตอนนี้ก็เริ่มชะลอ จาก 18-15% ตอนนี้เหลือเพียง 5%"
และไม่ใช่เพียงแค่ภาคการส่งออกอย่างเดียวเท่านั้น แต่ภาคการท่องเที่ยวของไทยก็มีสัญญาณที่ชะลอลง และเป็นเรื่องที่น่ากังวลเช่นเดียวกัน ซึ่งในเดือนมกราคม-เดือนกุมภาพันธ์ การท่องเที่ยวไทยโตอยู่ที่ 20% แต่หลังจากเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมาภาคการท่องเที่ยวของไทยซบเซาหนัก จากปัญหาการลักพาตัวของดาราจีน เหตุแผ่นดินไหว และความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึงล่าสุดที่ถนนยุบก็ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว ส่วนตัวจึงมองว่าภาคการท่องเที่ยวไทยปีนี้ก็ต้องทำใจ
"ตัวเลขการท่องเที่ยวของไทยเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 3.71 ล้านคน ซึ่งถือว่าเทียบเท่ากับช่วงก่อนเกิด โควิด-19 แต่ปัจจุบันจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงเรื่อยๆ ซึ่งเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางมาประเทศไทยลดลงเหลือ 2.23 ล้านคนเท่านั้น ซึ่งดูจากตัวเลขสถิติแล้ว จะพบว่าปีนี้เป็นปีแรกที่การท่องเที่ยวของไทยไม่ดีเลย"
นายกอบศักดิ์ ระบุว่า ทั้งสถานการณ์เศรษฐกิจโลกปั่นป่วน การส่งออกก็ไม่ดี ท่องเที่ยวครึ่งปีหลังก็ยังติดลบเมื่อเทียบกับปีก่อน จึงจะส่งผลต่อมายังการบริโภคของประเทศไทยจะไม่ดีด้วย ซึ่งการบริโภคของประเทศไทยก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลใจ เพราะเศรษฐกิจโต 3% ในครึ่งแรก และการบริโภคจากที่เคยโตถึง 7% ในปี 2566 เหลือเพียง 3.3% ในปี 2567 และล่าสุดในไตรมาสที่2 ของปี 2568 การบริโภคโตเพียง 2.1%
"ผมเคยถามบริษัทร้านสะดวกซื้อ และได้ข้อมูลมาว่าช่วงนี้การค้าขายไม่ค่อยดี เคยทำห้างห้างก็บอกว่าค้าขายไม่ดี หมายความว่าผู้ประกอบการรายใหญ่และผู้ประกอบการรายย่อยมีปัญหาเหมือนกันหมด ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาของเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ ส่งออกไม่ค่อยได้ท่องเที่ยวไม่ค่อยดี และภาคการบริโภคก็ยังอ่อนแอ ท่ามกลางความผันผวนต่างๆ แต่ที่เล่าให้ฟังเพราะว่าอยากให้ทุกคนทำใจ หลังจากนั้นจะได้เตรียมแผนธุรกิจให้ถูกต้อง"
ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ได้ประมาณการเศรษฐกิจว่า จะโตเพียง 1.6% และปีนี้เพียง 2.2% หมายความว่าเศรษฐกิจของไทยจะอ่อนแอถึง 2 ปีติดต่อกัน จึงไม่แปลกใจว่าทำไมรัฐบาลเร่งทำมาตรการระยะสั้นต่างๆอย่างโครงการคนละครึ่งพลัส เพราะคงตั้งใจว่าทำมาแล้วจะทำให้ตัวเศรษฐกิจที่คาดว่าจะลดลงไปต่ำในช่วงปลายมาสที่ 4 ได้รับแรงกระตุ้นและสามารถที่จะฟื้นตัวขึ้นมาได้
อย่างไรก็ตามส่วนตัวมองว่าโครงการดังกล่าวนั้น เป็นประโยชน์เพราะจะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้บ้างในบางส่วน และอาจจะช่วยได้ดีพอสมควร ซึ่งการทำคนละครึ่งดีกว่าการแจกเงิน เพราะการแจกเงินบางส่วนนำไปใช้หนี้แต่การทำคนละครึ่งบังคับต้องนำเงินไปใช้จ่าย
นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า การไม่พยายามเปลี่ยนให้ทัน จะนำไปสู่ปัญหาในที่สุด ดังนั้น ข้อเสนอแนะสำหรับการเตรียมการที่ตนเองอยากเสนอในวันนี้คือ ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัวใน 3 ด้าน คือ ด้าน Technology Transformation ด้าน Green Transition
และการออกไปทำธุรกิจในต่างประเทศ ให้ได้ภายใน 4-5 ปีข้างหน้า รวมถึงแผนรับมือหลังจากหมดยุคของ โดนัลด์ ทรัมป์ ในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐด้วย อย่างไรก็ตามในการเปลี่ยนแปลงต่างๆนั้น ไทยอาจต้องเร่งทำอย่างจริงจัง เพราะยังมีเรื่องความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์เข้ามาเป็นปัจจัยเสริม
"จากจุดเริ่มต้นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์รัฐ อาจรุนแรงจนนำไปสู่เกิดสงครามการค้า สงครามเทคโนโลยี สงครามการเงิน การแบ่งค่ายแบ่งพวก ตลอดจนเกิดสงครามทางการทหารได้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใหญ่ อาจเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อ ดังนั้น ถ้าหากไทยไม่เร่งปรับตัวก็อาจจะไม่ทันการณ์ต่อการแข่งขันกับประเทศอื่นทั่วโลก" นายกอบศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ :
https://www.pptvhd36.com/wealth/economic/258864
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์
https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
Facebook PPTVHD36 :
https://www.facebook.com/PPTVHD36
YouTube :
www.youtube.com/@PPTVHD36
อุตสาหกรรม
ส่งออก
เศรษฐกิจไทย
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย