11 ต.ค. เวลา 09:20 • ความคิดเห็น

วิธีก้าวผ่านวิกฤติวัยกลางคน

"ในบรรดาคนที่ยุ้ยได้คุยด้วย พี่น่าจะเป็นคนแรกเลยนะที่ไม่เจอวิกฤติวัยกลางคน"
ยุ้ยเป็นเจ้าของบริษัท Headhunter ที่ทางผมใช้บริการมาหลายปี ยุ้ยกินข้าวกับผมเมื่อเดือนที่แล้ว เพราะเราไม่เคยเจอกันตัวเป็นๆ เลย มีแต่คุยกันผ่านอีเมล ไลน์และโทรศัพท์เท่านั้น
ยุ้ยในวัยสี่สิบต้นๆ ชีวิตดูลงตัวดี มีลูกชายวัยประถมหนึ่งคน สามีเป็นชาวต่างชาติ ค่อนข้างมีอิสรภาพทางเวลา แต่ละปีได้ไปท่องเที่ยวหลายประเทศ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีเรื่องให้ลำบากใจเช่นการเลือกโรงเรียนให้ลูก และพ่อแม่ที่อายุเริ่มมากและไม่อยากออกไปไหน
"พวกเราเป็น sandwich generation ที่ต้องดูแลลูกด้วย ดูแลพ่อแม่ด้วย" ยุ้ยบอก ไหนจะมีปัญหาเรื่องงาน เรื่องสุขภาพ เรื่องคู่ชีวิตที่เพื่อนยุ้ยหลายคนกำลังประสบอยู่
ยุ้ยถามผมว่าเคยเจอ midlife crisis บ้างหรือไม่ ผมนึกอยู่พักหนึ่งก็ตอบไปว่า ก็มี mini crisis ช่วงปลายปี 2016 เพราะไปทำงานที่ใหม่แล้วไม่ผ่านการทดลองงาน โชคดีที่สัปดาห์ถัดมาได้งานใหม่ในสาย HR เพราะเจ้าของบริษัทให้โอกาส
จบจากอาหารมื้อนั้นผมก็ไม่ได้คิดถึงประเด็นนี้อีก คิดว่าที่ตัวเองไม่เจอก็เพราะว่าโชคดีเฉยๆ จนกระทั่งได้มาอ่านหนังสือ The Happiness Files: Insights on Work and Life ของ Arthur C. Brooks ในบทที่ชื่อว่า The Two Choices That Keep a Midlife Crisis at Bay เห็นว่าน่าสนใจเลยอยากนำมาเล่าสู่กันฟังครับ
-----
คอนเซ็ปต์ midlife crisis ถูกนิยามขึ้นเมื่อปี 1965 โดยนักจิตวิเคราะห์ชาวแคนาดาชื่อ Elliot Jaques โดยเขาตั้งข้อสังเกตว่าบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์มักจะสูญเสียความ productive หรือแม้กระทั่งเสียชีวิตในช่วงวัยสามสิบกลางๆ ถึงสามสิบปลายๆ
คำนี้มีชื่อเสียงยิ่งขึ้นในยุค 70's จากหนังสือเบสต์เซลเลอร์ของ Gail Sheehy ชื่อว่า Passages: Predictable Crises of Adult Life ซึ่งกล่าวไว้ว่า พออายุประมาณ 40 ปี หลายคนจะเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับทางที่ตัวเองเลือกเดิน และเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าจะมีเวลาเหลือพอที่จะบรรลุสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้หรือไม่
คำว่า "วัยกลางคน" เป็นช่วงอายุที่ค่อนข้างกว้าง ขึ้นอยู่กับว่าเรามองตัวเองอย่างไร National Council on Aging เคยมีการสำรวจในปี 2000 และพบว่าจากผู้ตอบแบบสอบถามที่อายุเกิน 65 ปี เกือบครึ่งหนึ่งมองว่าตัวเองอยู่ในวัยกลางคน
ตัว Brooks ที่อายุ 58 ปีในวันที่เขียนบทความนี้ ก็มองว่าตัวเองอยู่ในวัยกลางคนเหมือนกัน เพราะบริษัทประกันชีวิตประเมินว่าเขาน่าจะอายุยืนถึง 98 ปี ชีวิตวัยผู้ใหญ่ของเขาเริ่มต้นตอน 19 ปี ดังนั้น "ตรงกลาง" ของ 19 และ 98 ก็คือ (19+98)/2 = 58.5 ปี
คำนิยามสำหรับวัยกลางคนที่จำง่ายๆ และเป็นที่ยอมรับกัน มาจาก Daniel J. Levinson ที่บอกว่ามันคือช่วงชีวิตที่เราไม่ได้เป็นเด็กแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจเรียกว่าแก่ได้เช่นกัน
"Middle age is when one is no longer young and not yet quite old."
3
เมื่ออยู่ในวัยนี้ ความรู้ทักษะที่เราสั่งสมมาเหมือนจะเริ่มถดถอยหรือไม่ค่อยทันยุค แถมยังโดนกดดันจากภาระของการเลี้ยงลูกและดูแลพ่อแม่อีก ดังนั้นหากเรามองอายุที่มากขึ้นเป็นข้อจำกัด เราก็ย่อมมีความทุกข์ใจเป็นธรรมดา
แต่ Brooks บอกว่ามีการตัดสินใจ 2 อย่างที่จะช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้นกับวัยกลางคนได้ หรือแม้กระทั่ง "ก้าวข้าม" (midlife transcendence) ไปได้เลยด้วยซ้ำ
-----
ข้อแรก - อย่ามองว่าวัยนี้ทำให้เราเสียอะไรไป แต่ให้มองว่าเราได้อะไรมา
นักจิตวิทยาพัฒนาการ (developmental psychologist) นาม Erik Erikson บอกว่า วัยกลางคนคือการมาถึงทางแยกระหว่าง "Generativity" กับ "Stagnation"
1
Generativity คือความรู้สึกว่าเราได้สร้างประโยชน์อะไรบางอย่าง เช่นการทำงานที่มีความหมาย หรือการ "ปั้น" คนรุ่นต่อไป
ส่วน Stagnation นั้นคือการติดหล่มไม่ไปไหน ไม่เกิดการเรียนรู้หรือเติบโต รู้สึกชีวิตไร้เป้าหมายและทิศทาง
2
Stagnation มักจะนำไปสู่วิกฤติวัยกลางคน เพราะเรากำลังต่อสู้กับเวลา เช่นเครียดกับริ้วรอย ทุกข์ใจกับร่างกายที่ร่วงโรย และทักษะบางอย่างที่ถดถอย
ส่วน Generativity เกิดจากการที่เรายอมรับความจริงที่มาพร้อมกับวัยนี้ และมองเห็นว่ามีอะไรดีขึ้นตามธรรมชาติแม้จะเข้าสู่วัย 40 50 หรือ 60 แล้วก็ตาม เช่นการมองเห็นภาพรวม การอธิบายเรื่องยากๆ ให้เข้าใจง่าย รวมถึงการสอนหรือโค้ชคนอื่น
เพราะสิ่งที่ได้มาพร้อมกับวันเวลาและประสบการณ์ ก็คือ "ปัญญาที่ตกผลึกแล้ว" (crystalized intelligence).
------
ข้อสอง - โฟกัสไปที่การลด ไม่ใช่การเพิ่ม - Choose subtraction, not addition.
ตอนที่เริ่มสร้างเนื้อสร้างตัวใหม่ๆ ความสำเร็จคือการได้มา ทั้งเงินทอง หน้าที่ความรับผิดชอบ ความสัมพันธ์ และวัตถุต่างๆ ชีวิตในวัยยี่สิบกว่าถึงสามสิบกว่าจึงเปรียบเหมือนการวาดภาพบนผืนผ้าอันว่างเปล่า
แต่พอเข้าสู่วัยกลางคน ผืนผ้านั้นค่อนข้างเต็มแล้ว การจะเติมลวดลายหรือแต่งแต้มสีอะไรลงไปอีกรังแต่จะทำให้ภาพนั้นสวยน้อยลงกว่าเดิม นี่คือเหตุผลที่ทำไมคนวัยนี้ถึงมักจะมีปัญหาเรื่องการพยายามทำทุกอย่างในชีวิตที่ยุ่งเหยิงให้เสร็จเรียบร้อย สภาวะพลังงานตก ความอึดอัดคับข้องในหน้าที่การงาน และการนอนหลับที่ไม่เคยเต็มอิ่ม
ในวัยนี้ แทนที่จะมองว่าชีวิตเราเหมือนภาพที่ต้องวาดลงบนผืนผ้า เราควรมองให้มันเป็นรูปแกะสลักที่ค่อยๆ เผยตัวตนด้วยการกระเทาะออก ไม่ใช่ด้วยการเติมอะไรลงไปอีก
แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเราเคยชินกับการ "เติม" มานาน แต่สิ่งที่จะช่วยได้ คือให้ตั้งคำถามกับสมการที่ว่า
success = more
เพราะสมการนี้อาจไม่เหมาะกับวัยกลางคนอีกต่อไป
ลองสำรวจตัวเองว่ามีงานอะไรหรือกิจกรรมใดที่เราเลิกทำได้หรือไม่ เพื่อที่เราจะได้มีเวลามากขึ้นในการครุ่นคิด อ่านหนังสือ ใช้เวลากับคนที่เรารัก และใช้เวลากับตัวเอง
เอาที่จริงแล้ว ชีวิตใครหลายคนมีความสุขขึ้นหลังผ่านวัยกลางคนด้วยซ้ำไป เพราะเรามีความคลี่คลายกว่าตอนหนุ่มสาว มีความใจเย็นลง และมีความเข้าอกเข้าใจคนอื่นรวมถึงเข้าใจโลกมากขึ้นด้วย
มองกลับมาที่ตัวเองก็รู้สึกว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อคาดคั้นกับตัวเองและคนอื่นน้อยลง ก็ไม่ต้องทุกข์กายทุกข์ใจเกินความจำเป็น
1
ใช้ชีวิตให้เหมาะกับช่วงวัย ไม่อาลัยกับสิ่งที่เสียไปและใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เราจะได้มา รวมถึงให้ความสำคัญกับการลดทอนมากกว่าการเพิ่มพูน
แล้วเราน่าจะผ่านพ้นหรือแม้กระทั่งก้าวข้ามวิกฤติวัยกลางคนไปได้อย่างสง่างามครับ
โฆษณา