AI ทำให้คนเก่งยิ่งเก่ง
เมื่อวานพูดไปถึงเรื่อง AI ช่วยลดความไม่เท่าเทียมกันไปแล้ว วันนี้มามองในมุมกลับกันบ้าง
WSJ เขียนว่า แก่นของเรื่องคือ “ผู้เชี่ยวชาญที่มีระเบียบวินัย” จะใช้ AI ได้คุ้มค่ากว่าคนอื่น คนกลุ่มนี้มักเริ่มใช้ AI เร็วกว่าคนอื่น สำรวจฟีเจอร์ได้ไว และสร้างระบบทำงานส่วนตัวของตัวเอง ขณะที่คนอื่นยังรอให้หัวหน้ากำหนดกฎการใช้อย่างเป็นทางการ พวกเขายังสามารถแยกแยะคุณภาพของคำตอบจาก AI ได้แม่นกว่า รู้ว่าอะไรควรเชื่อ อะไรควรโยนทิ้ง ไม่ใช่สักแต่ copy มาตอบ
ยิ่งไปกว่านั้น ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านยังทำให้พวกเขาถามคำถามได้เฉียบกว่า ตั้งกรอบได้ชัด และปรับปรุง prompt จนแม่นยำขึ้นเรื่อยๆ
“สถานะ” ของคนเหล่านี้ก็ยิ่งทำให้ช่องว่างขยาย เพราะผลงานที่ได้จาก AI มักถูกยกย่องว่าเกิดจาก “พรสวรรค์” ของพวกเขา มากกว่าจะเป็นเพราะเครื่องมือช่วย ผลงานคล้ายกันจากคนอื่นกลับไม่ถูกพูดถึง
ตรงนี้คล้ายๆ กับมุมมองของน้องพีว่า AI เป็นเหมือนเครื่องมือขยายความสามารถ (ตัวคูณ) มากกว่าการเพิ่มความสามารถ (ตัวบวก)
และจุดสรุปที่น่าสนใจก็คือ ผู้จัดการก็ให้อิสระคนเก่งมากกว่า ให้ทดลองได้มากกว่า และให้อภัยเมื่อล้มเหลวได้ง่ายกว่าอีกด้วย
ส่วนในงานวิจัยหนึ่ง ก็บอกว่า AI จะช่วยคุณได้มากที่สุด ถ้าคุณ “เก่งอยู่แล้ว”มันเลยเกิดสิ่งที่เรียกว่า “อคติฝั่งผู้เชี่ยวชาญ” (specialist-biased effect) กับการใช้ AI
งานวิจัยนี้พบว่า ถึงแม้พนักงานที่มีทักษะต่ำจะได้ประโยชน์ในแง่ “คุณภาพงาน” มากขึ้นจาก AI ก็ตาม แต่พนักงานที่มีทักษะสูงจะได้ประโยชน์ในแง่ “ประสิทธิภาพ” ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่มักถูกใช้ให้รางวัลกับคนเก่งอยู่แล้ว
ผลที่พบคือ ในงานทั่วไป (generalist tasks) เมื่อมี AI ช่วย
- คุณภาพเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 48%
- เวลาทำงานลดลง 23%
แต่พอเป็นงานเฉพาะทาง (specialist tasks)
- คุณภาพมากกว่าสองเท่า เพิ่มขึ้นระหว่าง 108–117%
และพอดูในอีกด้าน งานซ้ำๆ (routine work) ดีขึ้น 24% แต่งานที่ไม่ซ้ำๆ (nonroutine work) ได้ผลดีขึ้นถึง 58%
ยิ่งทำให้เห็นชัดอีกว่า คนเก่งที่มักได้รับมอบหมายงานแบบที่ไม่ซ้ำรูปแบบ งานสร้างสรรค์ และงานแบบที่ใช้ความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว ยิ่งมีโอกาสใช้ AI ให้ได้ประโยชน์มากขึ้นไปอีก
อ้างอิง:
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
