6 ชั่วโมงที่แล้ว • การตลาด

ไอเดีย ทำคอนเทนต์ ให้ติด "ผลการค้นหา 10 แบบ" ของ Google โดยไม่ต้องจ่ายเงินซื้อโฆษณา

0. รู้ไหมว่า ทุกวันนี้ถ้าเราค้นหาข้อมูลต่าง ๆ บน Google เราจะเจอผลลัพธ์จากการค้นหามากกว่า 10 รูปแบบ
เพราะในแต่ละครั้งที่เราค้นหาข้อมูลบน Google เราจะเจอกับสิ่งที่เรียกว่า “SERP” (ย่อมาจาก Search Engine Results Page) ซึ่งจะเปลี่ยนไปตามรูปแบบของคำถามที่เราค้นหา ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าเราถามว่า “อากาศวันนี้เป็นอย่างไร ?” หรือ “ช่วยแนะนำร้านอาหารอร่อย ๆ แถวบางนาให้หน่อย” คำตอบที่ได้ก็จะถูกแสดงผลในรูปแบบที่แตกต่างกัน
ซึ่งแน่นอนว่า ผลลัพธ์การค้นหาที่แตกต่างกัน ย่อมส่งผลต่อการทำการตลาดของแบรนด์ เพราะวิธีการที่ลูกค้าจะเจอแบรนด์ ก็จะแตกต่างกันไปด้วย
ปัจจุบันรูปแบบของผลการค้นหา (SERP) ของ Google ที่สำคัญ ๆ และมีโอกาสทำให้เว็บไซต์ของเราไปปรากฏอยู่บนหน้าแรกของ Google ได้ โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อโฆษณา
1. 10 Blue Links
เป็นการแสดงคำตอบแบบพื้นฐานของ Google มีลักษณะเป็นลิงก์เว็บไซต์สีน้ำเงิน จำนวน 10 ลิงก์ ที่แสดงผลเป็น ชื่อหน้าเว็บไซต์, คำอธิบายต่าง ๆ และ URL ของเว็บไซต์ เรียงลำดับกันไปเรื่อย ๆ
ที่น่าสนใจคือ เว็บไซต์ที่ปรากฏใน SERP รูปแบบนี้ จะเป็นเว็บไซต์แบบออร์แกนิก
ซึ่ง Google จะเลือกเว็บไซต์ที่นำมาแสดงให้เราดู “ตามเกณฑ์ของ SEO” หมายความว่า ยิ่งเว็บไซต์ไหนทำ SEO เก่ง ก็จะยิ่งมีโอกาสไปปรากฏบนผลการค้นหาในอันดับต้น ๆ
2. Featured Snippets
เป็นการแสดงผลลัพธ์ แบบกล่องคำตอบเล็ก ๆ โดย Google จะดึงข้อมูลบางส่วนของเว็บไซต์ มาตอบให้เราในรูปแบบของพารากราฟสั้น ๆ ทำให้ผู้ใช้สามารถรู้ข้อมูลได้โดยไม่ต้องกดเข้าไปในเว็บไซต์
ที่น่าสนใจคือ Featured Snippets มักถูกนำมาแสดงผลที่ “ด้านบนสุด” ของ SERP ทำให้ในช่วงหลังหลายแบรนด์ให้ความสนใจกับผลการค้นหาในรูปแบบนี้มากขึ้น
3. AI Overviews
เป็นกล่องข้อความเล็ก ๆ ที่ตอบโดย AI พร้อมลิงก์อ้างอิงของข้อมูล และมักถูกจัดให้อยู่ด้านบนสุดของ SERP เหนือคำตอบรูปแบบอื่น ๆ
โดยคำตอบที่ได้จะมาในรูปแบบคำตอบ “เชิงวิเคราะห์” จาก Gemini ซึ่งเป็น Generative AI ของ Google เอง
4. Local Pack
เป็นกล่องข้อมูลแสดงรายชื่อของ “ธุรกิจ” เช่น ร้านอาหาร, อู่ซ่อมรถ, ร้านนวดสปา หรือธุรกิจประเภทอื่น ๆ มักถูกแสดงอยู่ที่ด้านบนสุดของ SERP เช่นเดียวกัน
ซึ่งในกล่อง Local Pack นี้ จะมีรายละเอียดต่าง ๆ เช่น คะแนนรีวิวจากผู้ใช้คนอื่น, ราคาของสินค้า รวมไปถึงตำแหน่งที่ตั้งของธุรกิจด้วย
ที่น่าสนใจคือ SERP ในรูปแบบนี้ มักแสดงผลให้เห็นบ่อย ๆ ถ้าผู้ใช้เซิร์ชคำค้นหาเกี่ยวกับสถานที่ อย่างเช่น คำว่า “ร้านอาหารใกล้ฉัน” หรือ “ร้านอาหารบางนา”
5. People Also Ask
มีลักษณะเป็นกล่องข้อมูลเล็ก ๆ ที่จะแสดงคำถามคล้ายกับ คำถามที่เรากำลังค้นหาอยู่
เช่น ถ้าเราถามว่า “การวิ่งเบิร์นได้กี่แคล ?” Google อาจแสดงช่อง People Also Ask ออกมาเป็น คำถามที่ว่า “วิ่งได้กล้ามเนื้อส่วนไหน ?”
และถ้าเรากดเข้าไปก็จะเห็นคำตอบสั้น ๆ ที่ Google ดึงมาจากเว็บไซต์ หรือคำตอบสั้น ๆ ที่วิเคราะห์โดย Gemini แล้วแต่กรณี
อย่างไรก็ดี SERP แบบนี้มักจะถูกแสดงผลในส่วน “ตรงกลาง” ของผลการค้นหา ทำให้หลายคนอาจยังไม่ค่อยพูดถึง SERP ในรูปแบบนี้มากนัก
6. Rich Snippets
เป็นกล่องข้อมูลเล็ก ๆ คล้าย Featured Snippets แต่จะให้คำตอบที่ละเอียดกว่า เช่น จำนวนรีวิว, ราคาสินค้า หรือรูปภาพประกอบต่าง ๆ
โดย SERP รูปแบบนี้มักจะปรากฏขึ้น ในกรณีที่ผู้ใช้ถามรายละเอียดในเรื่องที่อยากรู้ และมักจะอยู่ในตำแหน่งบนสุดของผลการค้นหา
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราถามว่า “ราคาตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่น” Google มีโอกาสแสดงผลเป็น Rich Snippets ที่มีส่วนประกอบของ ราคาตั๋ว, ระยะเวลาในการบิน และรายละเอียดอื่น ๆ ให้เห็น
7. Discussions and Forums
เป็นกล่องแสดงข้อมูลที่ Google ดึงมาจากเว็บไซต์ ที่มีความเป็น “บทสนทนา” เช่น เว็บบอร์ดอย่าง Reddit หรือ Pantip มาแสดงให้ผู้ใช้เห็น
8. Image Packs
เป็น SERP ที่จะแสดง “รูปภาพ” ที่ Google คิดว่าเกี่ยวข้องกับคำที่ผู้ใช้กำลังค้นหาอยู่ และมักปรากฏอยู่ตำแหน่งบน ๆ ของ SERP
โดย SERP รูปแบบนี้มักจะเห็นได้บ่อย ๆ ถ้าผู้ใช้ค้นหาสถานที่ท่องเที่ยว, ร้านอาหาร หรือสินค้าต่าง ๆ ที่ต้องอาศัยรูปภาพในการสื่อสาร
9. Knowledge Panels
เป็นกล่องข้อมูลที่จะปรากฏร่วมกับ SERP ในรูปแบบอื่น ๆ ที่ด้านขวา โดยในกล่องจะแสดงคำตอบของผู้ใช้แบบละเอียดพร้อมแหล่งที่มาอ้างอิง
โดยส่วนใหญ่แล้ว SERP แบบนี้จะปรากฏขึ้น เวลาที่ผู้ใช้เซิร์ชหาข้อมูลในรูปของ “ประโยคคำถาม” เช่น “4Ps Marketing Mix คืออะไร ?”
10. Video Carousels
เป็นการแสดงชุดวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับคำค้นหาคล้ายกับ Image Packs ซึ่ง SERP ในรูปแบบนี้จะมีการแสดงผลทั้งแนวตั้งและแนวนอน แล้วแต่ว่าเปิดในอุปกรณ์ชนิดใด
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ ต้องบอกก่อนว่า จริง ๆ แล้ว Google ยังมี SERP อีกหลายแบบที่อาจจะยังไม่ได้กล่าวถึงในบทความนี้ เช่น SERP แบบ News ที่จะแสดงข่าวสารล่าสุดจากแหล่งที่มาต่าง ๆ
แต่จาก SERP ที่ยกตัวอย่างมา หลายคนก็น่าจะพอเห็นภาพแล้วว่าทุกวันนี้ การค้นหาบน Google ไม่ได้มีเพียงคำตอบ ที่เป็นลิงก์ของเว็บไซต์เรียงติด ๆ กันเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว
คำถามคือ แล้วเราจะมีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้ Google ดึงข้อมูลของเราไปแสดงผล ? บน SERP ในรูปแบบต่าง ๆ
ต้องบอกว่าในปัจจุบัน มี 3 เทคนิคหลัก ๆ ที่คนนิยมใช้ปรับปรุงคอนเทนต์ของตัวเองให้ Google หยิบไปใช้ตาม SERP ในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่
1. SEO (Search Engine Optimization)
เป็นเทคนิคพื้นฐานที่รู้จักกันมาอย่างยาวนาน ให้ความสำคัญกับ “Keywords” ที่คิดว่าลูกค้าจะใช้ในการค้นหา เพื่อให้ Google นำคอนเทนต์ของเว็บไซต์ไปแสดง
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเป็นเจ้าของโครงการคอนโดมิเนียมย่านทองหล่อ ให้เราวิเคราะห์ว่าลูกค้าจะใช้ Keywords อะไรในการค้นหาคอนโดมิเนียม ?
เช่น ถ้าเราคิดว่า “คอนโดทองหล่อ” คือ Keywords ที่ลูกค้าจะใช้ในการค้นหา ก็ให้เอาคำตรงนี้ไปใส่ในเนื้อหาบนเว็บไซต์ของเราหลาย ๆ จุด เพื่อเพิ่มโอกาสให้ Google นำเนื้อหาของเราไปแสดงบน SERP
โดยข้อมูลจากหลายแหล่งบอกตรงกันว่า เทคนิคการทำ SEO จะเหมาะมาก ๆ สำหรับแบรนด์ที่อยากให้เว็บไซต์ติดอันดับ SERP แบบ “10 Blue Links”
หรือลิงก์ของเว็บไซต์ 10 อันดับแรก ที่ Google หยิบมาแสดงในผลการค้นหานั่นเอง..
2. AEO (Answer Engine Optimization)
เป็นเทคนิคที่เกิดจากแนวคิดที่ว่า พฤติกรรมในการค้นหาบน Google ของผู้ใช้จะมีความเป็น “คำถาม” มากกว่า “Keywords”
เช่น ถ้าผู้ใช้อยากค้นหาร้านอาหารย่านบางนา ลูกค้าอาจจะถาม Google ว่า “ไปบางนากินอะไรดี” แทนที่จะเป็น “ของกินบางนา”
เทคนิคการทำ AEO จึงเน้นไปที่การปรับโครงสร้างของคอนเทนต์ให้มีโครงสร้างเป็น “คำถาม” และ “คำตอบ”
ที่สำคัญคือ คอนเทนต์ต้องมีความเป็น “ภาษาพูด” เหมือนที่คนใช้ถามกับ Google ให้ได้มากที่สุด
เพื่อให้คอนเทนต์ของเรามีโอกาสติด SERP แบบ Featured Snippets หรือ AI Overviews ที่ส่วนใหญ่จะแสดงผล ในกรณีที่ผู้ใช้เซิร์ชหาข้อมูลด้วยคำถามนั่นเอง
3. Local SEO
เป็นเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการใช้ Google My Business ซึ่งเป็นฟีเชอร์สำหรับธุรกิจโดยตรงของ Google
สำหรับหลักการคร่าว ๆ ของ Local SEO จะคล้ายกับ SEO คือการนำ Keywords ที่คิดว่าผู้ใช้จะใช้ค้นหามาใส่ในเนื้อหาของเรา
แต่หลักการของ Local SEO จะต่างกันตรงที่ จะมีการเพิ่มความยาวของ Keywords ให้มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าเราทำธุรกิจร้านขายยา คำว่า “ร้านขายยา” อาจจะเป็น Keywords ที่คนใช้ค้นหา แต่ถ้าเราทำ Local SEO เราอาจจะเพิ่มความยาวของ Keywords ให้มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้นได้
เช่น ร้านขายยา + ชื่อย่าน กลายเป็น “ร้านขายยา ลาดพร้าว”, “ร้านขายยา แถวบางนา” หรือ “ร้านขายยา ศาลาแดง”
ซึ่งการทำ Local SEO แบบนี้จะเหมาะมาก ๆ สำหรับ SERP แบบ Local Pack ที่มักจะแสดงผลตอนที่ผู้ใช้เซิร์ชคำค้นหาเกี่ยวกับสถานที่
อย่างคำว่า “ร้านอาหารใกล้ฉัน” หรือ “ร้านอาหารบางนา” นั่นเอง..
สุดท้ายนี้ ต้องหมายเหตุไว้ก่อนว่าไอเดียการทำเว็บไซต์ให้ติดผลการค้นหาของ Google ที่ได้หยิบยกมาเป็นเพียงตัวอย่างแบบคร่าว ๆ เพื่อเป็นไอเดียสำหรับนักการตลาดให้ทำตามแบบง่าย ๆ
แต่จริง ๆ แล้ว การทำให้เว็บไซต์หรือคอนเทนต์ของแบรนด์ ติดผลการค้นหาของ Google ยังมีรายละเอียดหลังบ้านอื่น ๆ อีกมาก ซึ่งส่งผลต่อการเลือกแสดงผลการค้นหาของ Google เช่นเดียวกัน
โฆษณา