21 ต.ค. เวลา 08:00 • การตลาด

AEO (Answer Engine Optimization) คืออะไร การเปลี่ยนเกมจาก SEO สู่ AEO และสิ่งที่ SME ต้องรู้

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โลกของการ Search ได้เปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่ AI เข้ามามีบทบาทในแทบทุกมิติของการค้นหา การทำการตลาดด้วยวิธีเดิมที่หวังเพียงให้เว็บไซต์ติดอันดับบนหน้าผลลัพธ์การค้นหา (SERPs) อาจไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะผู้ใช้งานเริ่มหันไปพึ่งพา AI Search ที่สามารถสรุปคำตอบได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น
ปัจจุบันแบรนด์และนักการตลาดจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ใหม่ เพื่อให้คอนเทนต์ไม่เพียงแค่ถูกค้นพบ แต่ยังสามารถปรากฏเป็นคำตอบโดยตรงในแพลตฟอร์ม AI ได้ ซึ่งก็คือกลยุทธ์การทำ AEO (Answer Engine Optimization) ที่กำลังถูกพูดถึงในฐานะ “อนาคตของ SEO” และกลายเป็นหัวใจสำคัญที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม
บทความนี้ จะพาทุกคนไปทำความเข้าใจว่า AEO คืออะไร ขั้นตอนการทำ AEO ต่างจาก Traditional SEO อย่างไร และดีกับธุรกิจ SME อย่างไรบ้าง?
การเข้ามาของ AI เปลี่ยนแปลงกระบวนการทำ SEO เป็น AEO ได้ยังไง?
AEO ต่างจาก SEO อย่างไร
เราจะเห็นได้ชัดจากหลายเวทีใหญ่ ๆ ของเอเจนซี SEO ในไทยที่เริ่มพูดถึงประเด็นการทำ SEO เพื่อ AI กันมากยิ่งขึ้น การทำ Traditional SEO แบบเดิม ที่หวังเพียงการติดอันดับบน SERPs นั้นอาจไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะ User ได้คำตอบตรงจาก AI Search โดยไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าเว็บไซต์เหมือนที่ผ่านมา ทำให้ Traffic จากการค้นหาบนหน้า Google เริ่มลดลง นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ธุรกิจควรหันมาให้ความสำคัญกับการทำ AEO มากยิ่งขึ้น
AEO คืออะไร?
AEO ย่อมาจาก Answer Engine Optimization คือการปรับปรุงเนื้อหาและโครงสร้างเว็บไซต์ให้ตอบคำถามผู้ใช้งานได้ทันที และมีประสิทธิภาพจนระบบ AI Search Engine เช่น ChatGPT, Gemini, Perplexity, Claude AI และเครื่องมือ AI ตัวอื่น ๆ ดึงข้อมูลจากเว็บไซต์ของเราไปใช้อ้างอิงได้โดยตรง ดังนั้น การทำ AEO จึงเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่มการมองเห็น (Visibility) ความน่าเชื่อถือ (Credibility) และสร้างยอดขาย (Conversion) ให้กับแบรนด์ได้ไม่แพ้การทำ SEO แบบดั้งเดิม
ความแตกต่างระหว่าง SEO และ AEO มีอะไรบ้าง?
AEO ต่างจาก SEO อย่างไร? แม้ว่าการทำ SEO และ AEO จะมีเป้าหมายในการเพิ่มการมองเห็นเว็บไซต์ให้มากขึ้นเหมือนกัน แต่จริง ๆ แล้วทั้งสองกลยุทธ์นี้มีรายละเอียดทั้งในส่วนของวิธีการและผลลัพธ์ที่ต่างกันหลายจุด ดังนี้
เหตุผลที่ธุรกิจ SME ต้องทำ AEO มีอะไรบ้าง?
ถ้า SME ทำ SEO อยู่แล้ว การไม่ทำ AEO เปรียบเสมือนคุณกำลังคุยกับลูกค้าผ่านประตูหลังบ้าน ในขณะที่คู่แข่งของคุณเดินมาทักทายลูกค้าถึงหน้าประตูด้วยคำตอบที่ใช่และได้ใจกว่า เพราะระบบ AI หรือ Search ปEngine ใหม่ๆ จะเลือกเอาคำตอบที่ดีที่สุดไปแสดงก่อน ไม่ใช่แค่หน้าเว็บที่มีคีย์เวิร์ดเยอะที่สุดอีกต่อไป
  • นำเทรนด์การเสิร์ช นำหน้าคู่แข่งไปอีกก้าว
ในยุคที่กระแส AI Search กำลังมาแรง และทุกธุรกิจเดินหน้าทำการตลาดบน AI Search การเข้าใจเทรนด์การเสิร์ชจึงไม่ใช่แค่การเลือกคีย์เวิร์ด แต่คือการอ่านเกมพฤติกรรมผู้บริโภคให้ขาด ใครที่สามารถปรับกลยุทธ์คอนเทนต์ได้ก่อน ก็จะคว้าโอกาสและก้าวนำคู่แข่งไปอีกหนึ่งก้าวเสมอ
  • เข้าถึงทุกการค้นด้วยการเข้าใจรูปแบบการเสิร์ชที่เปลี่ยนไป
มีผลสำรวจที่บอกกับเราว่า 70% ของผู้ใช้งาน Search Engine เปลี่ยนพฤติกรรมการค้นหาจากเสิร์ชคำสั้น ๆ เป็นการเสิร์ชด้วยประโยคยาว ๆ ในลักษณะของการตั้งคำถาม (Voice search) มากยิ่งขึ้น ดังนั้น การทำ AEO ที่มีการวิเคราะห์การ Research Keyword รูปแบบใหม่จะช่วยเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์ของคุณ ตรงกับความต้องการในการเสิร์ชของผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น
  • เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น
แม้ว่าการทำ SEO แบบดั้งเดิม ที่เน้นให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกของ Google จะยังเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่ดี แต่สำหรับธุรกิจเล็ก ๆ โดยเฉพาะ SME ที่เพิ่งเริ่มต้น การจะขึ้นอันดับแข่งกับแบรนด์ใหญ่ที่มีเว็บไซต์แข็งแรง (เช่น Domain Rating หรือ DR สูง) นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
ในจุดนี้เอง การทำ AEO (Answer Engine Optimization) เข้ามาช่วยเติมเต็มได้ เพราะช่วยให้เนื้อหาของคุณมีโอกาสถูกดึงไปแสดงใน AI Search ทำให้ในขณะที่คุณกำลังทำ SEO และรอผลลัพธ์ การทำ AEO จะช่วยให้คุณเริ่มถูก “พูดถึง” หรือ “แนะนำ” บนแพลตฟอร์ม AI ใหม่ ๆ ซึ่งช่วยสร้างโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าได้ไวขึ้น โดยไม่ต้องรอให้เว็บไซต์ไต่อันดับนานเหมือนแต่ก่อน
  • การทำ AEO ไม่ใช่การทำเพิ่ม แต่คือการอัปเกรด SEO
การทำ AEO ไม่ใช่การทำเพิ่มจากสิ่งที่เคยทำอยู่แล้ว แต่คือการยกระดับ SEO ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการค้นหายุคใหม่ ที่ผู้คนเริ่มหันมาใช้ AI เพื่อหาคำตอบมากกว่าการพิมพ์คีย์เวิร์ดธรรมดา AEO จึงช่วยให้เนื้อหาของคุณถูกหยิบไปใช้ในระบบ AI Search ได้ง่ายขึ้น เพิ่มโอกาสในการมองเห็นโดยไม่ต้องรออันดับ SEO อย่างเดียว
เทคนิคการทำ AEO ให้ติด AI Search มีอะไรบ้าง?
อย่างที่ได้เกริ่นไปในข้างต้น วิธีทำ AEO หลายส่วนไม่ใช่การทำใหม่ แต่เป็นการอัปเกรดโครงสร้าง SEO เดิมให้ดีขึ้น โดยเทคนิคการทำ AEO ที่สามารถทำตามได้ทันที มีดังนี้
🔹 เตรียมเว็บไซต์ให้เหมาะกับ AI
สำหรับใครที่อยากทำ AEO ให้เว็บไซต์ติด AI Search สิ่งแรกที่ควรให้ความสำคัญมี 2 เรื่องหลัก ๆ
1. ทำให้เว็บไซต์ดาวน์โหลดเร็ว
เพราะเว็บไซต์ที่โหลดช้า ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้ใช้ไม่พอใจ แต่ยังส่งผลต่อการจัดอันดับ SEO และการอ่านข้อมูลโดย AI ด้วย เพราะระบบของ AI bot มักจะตัดใจจากหน้าเว็บที่โหลดช้าเกินไป ซึ่งการทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นทำได้หลายวิธี เช่น ใช้การบีบอัดภาพ (WebP, Lazy Loading), ลด JavaScript ที่ไม่จำเป็น เป็นต้น
2. ทำ LLMs.txt, Robots.txt
การทำ LLMs.txt, Robots.txt เป็นการอนุญาตให้ AI bot สามารถเข้ามารวบรวม (Crawler) เนื้อหาในเว็บไซต์เราได้ รวมถึงยังเป็นการบอกให้ AI ทราบว่าข้อมูลส่วนไหนของเว็บไซต์ที่สามารถเข้าถึงได้และส่วนไหนไม่อนุญาตให้เข้าถึง
3. ทำ Web API
การทำ Web API ภายในเว็บไซต์ เปรียบเสมือนการทำ Structured Data ภายในเพื่ออนุญาตให้ AI bot สามารถนำข้อมูลในเว็บไซต์ของเราไปใช้อ้างอิงได้ง่าย เมื่อ AI bot สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เป็น Structured Data หรือ API ได้ง่าย ก็มีแนวโน้มที่จะ "อ้างอิง" เว็บของคุณในการตอบคำถามมากขึ้น
🔹 เขียนคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการเสิร์ชบน AI
การทำ AEO ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการใส่คีย์เวิร์ดเพียงอย่างเดียว แต่ต้องใส่ใจคุณภาพของคอนเทนต์ตามหลัก E-E-A-T (Experience, Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness) ที่ตอบโจทย์ผู้อ่านและสอดคล้องกับเจตนาการเสิร์ช (Search Intent) ของผู้ใช้ด้วย
ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้ค้นหาคำว่า “ประโยชน์จากการทำ AEO” คอนเทนต์ควรอธิบายทั้งนิยาม ความสำคัญ และตัวอย่างการใช้งานจริง ไม่ใช่แค่การอธิบายเชิงทฤษฎีเพียงอย่างเดียว เมื่อบทความตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการ Google และ AI Search ก็จะยกบทความนั้นขึ้นมาแสดงผลในอันดับที่ดีกว่า
นอกจากนี้ การวางโครงสร้างของบทความให้อ่านง่ายก็เป็นเรื่องสำคัญ เช่น เขียนเนื้อหาให้กระชับ ตอบคำถามตั้งแต่ต้น การทำตารางเปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย ไปจนถึงการใส่ Bullet Point หรือการทำ Number List เพื่อให้ผู้อ่านและ AI bot สามารถเข้าใจเนื้อหาของบทความนั้นได้ทันที
🔹 ปรับ Copywriting ให้เหมาะกับ User & AI
ในการทำบทความ SEO จะต้องมีการวางโครงสร้าง Heading Tag หรือการตั้งชื่อหัวข้อบทความด้วย Focus keyword เพื่อให้ผู้อ่านและ Googlebot เข้าใจเนื้อหาของบทความได้ง่ายมากยิ่งขึ้น แต่ในการทำ AEO นอกจากการใส่ Focus keyword แล้ว เพื่อให้การตั้งชื่อหัวข้อในบทความสอดคล้องกับพฤติกรรมการเสิร์ชของผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น ควรทำ Copywriting ให้เป็นประโยคคำถาม เพื่อเพิ่มโอกาสที่ AI bot จะเอาข้อมูลไปใช้มากยิ่งขึ้น
ตัวอย่างเช่น
  • ความหมายของ AEO → AEO คืออะไร?
  • ความสำคัญของ AEO → AEO คืออะไร?
  • ประโยชน์ของ AEO กับธุรกิจ SME → การทำ AEO เหมาะกับธุรกิจ SME อย่างไร?
🔹 ทำ Brand Mention
ระบบ AI ไม่ได้พิจารณาแค่เนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณเท่านั้น แต่ยังถามหาความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์จากแหล่งอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อให้มั่นใจว่าว่าแบรนด์ของคุณมีตัวตนจริง มีความน่าเชื่อถือ และถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่องมากแค่ไหน
โดยสิ่งสำคัญที่จะต้องทำคือการเพิ่ม Brand Mention เพื่อให้แบรนด์ของคุณ มีตัวตนอยู่ในทุกแพลตฟอร์ม (Omnichannel) ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์หลัก, Social Media, Marketplace รวมไปถึงการมีเว็บไซต์ในธุรกิจเดียวกันอื่น ๆ พูดถึงคุณ ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ (Trust signals) และช่วยให้ AI มองว่าแบรนด์ของคุณมีตัวตนจริงมากขึ้นได้อีกด้วย
🔹 เพิ่ม FAQ หรือคำถามที่พบบ่อยในบทความ
อีกหนึ่งเทคนิคที่ช่วยพัฒนา SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพคือ การใส่ FAQ หรือส่วนคำถามที่พบบ่อย ซึ่งเป็นการตอบคำถามเชิงลึกและแก้ข้อสงสัยของผู้ใช้โดยตรง นอกจากนี้ FAQ ยังช่วยเพิ่มโอกาสให้คอนเทนต์ไปติด Featured Snippet หรือช่องคำตอบพิเศษบน Google ได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่น หากบทความเกี่ยวกับ AEO มี FAQ อย่าง “AEO เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กหรือไม่?” หรือ “ต้องใช้เวลาเท่าไรในการขอรับรอง AEO?” ก็จะช่วยให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลครบถ้วน และทำให้บทความมีคุณค่าในสายตา Search Engine มากขึ้น
AI SEO คือ
วัดผลการทำ AEO ง่าย ๆ ด้วยการใช้ฟีเจอร์ Brand Radar จาก Ahrefs
ธุรกิจ SME สามารถพิจารณาความสำเร็จของการทำ AEO ได้ด้วย Metrics ที่เรียกว่า AI Visibility จากเครื่องมือที่มีชื่อว่า Brand Radar ของ Ahrefs เครื่องมือทำ SEO ที่เป็นที่นิยมที่สุด
โดย Brand Radar เป็นฟีเจอร์ที่ใช้งานง่าย เพียงใส่ชื่อ Brand ของคุณไม่ว่าจะเป็น ชื่อเต็ม, ชื่อภาษาอังกฤษ หรือชื่อย่อ เพื่อดูว่า AI มีการ Mention ถึงแบรนด์คุณมากแค่ไหนในแต่ละ Platform เช่น “Brand A”
ตรง Panel AI visibility จะมีการบอกจำนวนครั้งที่ AI Mention ทั้งหมดในแต่ละ Platform
ซึ่งสามารถเข้าไปดูได้ว่า Context ที่ AI Mention เป็นแบบไหน และจาก Keyword อะไร
นอกจากนี้ยังสามารถดู Visibility เป็นกลุ่มบริการต่าง ๆ ได้ด้วยการ Filter Query เช่น “สินเชื่อ” หรือ “กู้” เป็นต้น
หากเราต้องการดูว่าในแต่ละกลุ่มบริการ เมื่อเทียบกับคู่แข่งแล้ว เรามี AI Share of Voice เท่าไหร่ก็สามารถทำได้โดยการเพิ่ม ชื่อแบรนด์ของคู่แข่งเพื่อดูว่า Share of voice ของแบรนด์เราคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับคู่แข่ง
เพราะฉะนั้น Metrics ที่ใช้วัดผล SEO แบบเดิมจึงไม่เพียงพออีกต่อไปหากจะทำ AEO ควรกำหนด Metrics ที่ลึกกว่า เช่น AI visibility ว่ามีการกล่าวถึงแบรนด์คุณมากน้อยเพียงใด และ AI Share of voice เมื่อเทียบกับคู่แข่ง ว่าในแต่ละกลุ่มบริการเรามี Share of voice เมื่อเทียบกับคู่แข่งมากน้อยเพียงใด เพื่อที่จะนำไปพัฒนาและปรับปรุงการทำ AEO ต่อไป
เตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงจาก SEO สู่ AEO : คำแนะนำจากคุณไอซ์ ศิริพงษ์ แห่ง NerdOptimize
คุณไอซ์ ศิริพงษ์ กลิ่นขจร, CEO & Co-Founder จากบริษัทรับทำ SEO ผู้เชี่ยวชาญแถวหน้าของประเทศไทย Nerd Optimize ได้มีคำแนะนำเกี่ยวกับการยกระดับ SEO สู่ AEO สำหรับกลุ่มธุรกิจ SME ไว้ดังนี้
“การทำ SEO อย่างเดียวในปัจจุบันไม่เพียงพออีกต่อไปครับ เพราะ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญในการค้นหาและคัดเลือกข้อมูลมานำเสนอให้ผู้ใช้โดยตรง การทำ SEO จึงไม่ใช่แค่การทำอันดับบนหน้าผลการค้นหาแบบเดิมๆ แต่คือการสร้างรากฐานเว็บไซต์ที่แข็งแกร่งเพื่อให้ AI มีโอกาส ‘หยิบ’ ข้อมูลและ ‘พูดถึง’ แบรนด์ของเรามากขึ้น
ซึ่งทางรอดของธุรกิจ SME คือการปรับมุมมองใหม่ โดยเปลี่ยนวัตถุประสงค์จากการวัดผลแค่ยอดคลิกเข้าเว็บไซต์ มาให้ความสำคัญกับเมตริกใหม่อย่าง Brand Mention หรือ Brand Visibility ผ่านการแนะนำของ AI เพราะเราไม่สามารถควบคุมให้ผู้ใช้คลิกเข้าสู่เว็บไซต์ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป
ดังนั้นเป้าหมายสำคัญที่สุดที่เราทำได้คือ การทำให้แบรนด์ของเรามีตัวตนและถูกพูดถึงในทุกแพลตฟอร์ม ซึ่งในอนาคตอันใกล้ พื้นที่เหล่านั้นจะถูกคัดเลือกและนำเสนอโดย AI มากขึ้นเรื่อย ๆ ครับ”
จาก SEO ไปสู่ AEO การเปลี่ยนเกมการตลาดในยุค AI Search Engine
เมื่อเวลาเปลี่ยน วิธีการทำการตลาดก็ต้องก้าวตามไปด้วย การทำ SEO แบบดั้งเดิมอาจไม่ครอบคลุมการมองเห็นบนโลกดิจิทัลเหมือนเดิมอีกต่อไป โดยเฉพาะในยุคที่ AI กลายเป็นเครื่องมือค้นหาคำตอบที่สะดวก รวดเร็ว และแม่นยำ จนหลายคนใช้เป็นผู้ช่วยหลักในการทำงาน หากธุรกิจต้องการยืนระยะอย่างมั่นคงบนโลกออนไลน์ การปรับเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับ AEO (Answer Engine Optimization) จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะนี่คือการยกระดับ SEO ไปอีกขั้น และคืออนาคตของ Search อย่างแท้จริง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ AEO (Answer Engine Optimization)
🔹 การค้นหาด้วย AI จะทำให้เว็บไซต์ Traffic ลดลงจริงไหม?
มีโอกาสที่ Traffic จาก Search จะลดลง แต่ไม่ใช่ในทุกกรณี และไม่ได้หมายความว่าเว็บไซต์จะหมดความสำคัญไปเลย โดยเฉพาะกับเว็บไซต์ที่มีคอนเทนต์คุณภาพ ยังคงมีโอกาสได้ Traffic ที่มีคุณภาพกว่าเดิม เนื่องจาก AI มักดึงข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้มาอ้างอิง นั่นหมายความว่า หากเว็บไซต์ถูกออกแบบให้ตอบโจทย์ AEO (Answer Engine Optimization) ก็ยังคงสามารถสร้างการมองเห็น สร้างแบรนด์ และดึงผู้ใช้ที่ “สนใจจริง” เข้ามาได้
สรุปสั้น ๆ คือ AI อาจทำให้ปริมาณ Traffic ลดลง แต่ช่วยเพิ่มคุณภาพของผู้เข้าชม และทำให้เว็บไซต์กลายเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือในสายตาทั้งผู้ใช้และ Search Engine
🔹 AEO จะมาแทนที่ SEO ไหม?
AEO ไม่ได้มาแทน SEO แต่เป็นการต่อยอดที่ทำงานควบคู่กันไปมากกว่า เพราะ SEO ยังคงมีความสำคัญในการทำให้เว็บไซต์ถูกค้นพบและจัดอันดับบน Search Engine ขณะที่ AEO เน้นการปรับคอนเทนต์ให้ตอบคำถามได้อย่างตรงจุดเพื่อให้ AI Search หรือ Answer Engine นำไปแสดงผลโดยตรง ความแตกต่างคือ SEO มุ่งเน้นการดึงคนเข้าเว็บไซต์ ส่วน AEO มุ่งเน้นการเป็นคำตอบที่ผู้ใช้เห็นทันที ดังนั้น ธุรกิจที่ต้องการความได้เปรียบในอนาคตควรผสานทั้งสองแนวทางเข้าด้วยกัน เพื่อให้ครอบคลุมทั้งการค้นหาแบบดั้งเดิมและการค้นหาด้วย AI ที่กำลังมาแรง
🔹 ทำเว็บไซต์ให้ติด AEO รอนานแค่ไหน?
ทั่วไปแล้ว การทำ AI Search จะใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์และการปรับโครงสร้างเว็บไซต์ที่บริษัทรับทำ SEO เลือกใช้
โฆษณา