18 ต.ค. เวลา 16:00 • สิ่งแวดล้อม

‘ปะการัง’ เข้าสู่จุดพลิกผัน ฟอกขาวต่อเนื่อง รอวันแห้งตาย หากลดโลกร้อนไม่ได้

แนวปะการังทั่วโลกได้รับผลกระทบจาก “ภาวะโลกร้อน” มาหลายปีแล้ว เกิดเหตุการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และกำลังเผชิญกับภาวะเสื่อมโทรมในระยะยาว
นักวิจัยจากสถาบันโกลบอลซิสเต็มส์ มหาวิทยาลัยเอ็กซิเตอร์ เผยแพร่รายงาน Global Tipping Points ฉบับที่สอง ซึ่งศึกษากระบวนการพื้นฐานที่ค้ำจุนสิ่งมีชีวิตบนโลกว่าเสียหายระดับใด รายงานระบุว่า แนวปะการังทั่วโลกเป็นระบบสิ่งแวดล้อมแห่งแรกบนโลกที่ผ่าน “จุดผลิกผัน” ของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งถือเป็นวิกฤติที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“จุดผลิกผัน” ถือเป็นเกณฑ์สำคัญในระบบภูมิอากาศของโลก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ อาจนำไปสู่ผลกระทบที่สำคัญและมักจะไม่สามารถย้อนกลับได้ ผู้เขียนรายงานกล่าว
สตีฟ สมิธ นักวิจัยจากสถาบันโกลบอลซิสเต็มส์ และหนึ่งในผู้เขียนร่วมของรายงาน บอกกับ CBS News ว่า “จุดผลิกผันคือจุดที่การเปลี่ยนแปลงกลายเป็นตัวขับเคลื่อนตัวเอง คล้ายกับการเปลี่ยนแปลงที่เร่งตัวเอง”
ทิม เลนตัน ผู้อำนวยการสถาบันโกลบอลซิสเต็มส์และหัวหน้าผู้เขียนรายงานฉบับนี้ กล่าวในแถลงการณ์ว่า เขาหวังว่าผลการวิจัยของทีมวิจัยจะได้รับการบรรจุไว้ในวาระการประชุม COP30 ที่จะเกิดขึ้นที่บราซิล
“ระบบโลกหลายระบบกำลังเข้าใกล้จุดพลิกผันอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงโลกของเรา และจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อทั้งมนุษย์และธรรมชาติ สิ่งนี้ต้องการการดำเนินการอย่างเร่งด่วนและไม่เคยมีมาก่อนจากผู้นำใน COP30 และผู้กำหนดนโยบายทั่วโลก” เลนตันระบุ
“ความตกลงปารีส” ปี 2015 กำหนดไม่ให้โลกมีอุณหภูมิสูงกว่ายุคก่อนอุตสาหกรรมไม่เกิน 1.5-2 องศาเซลเซียส แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาว่า ประเทศต่าง ๆ กลับลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ถึงเป้าหมายที่จำเป็นต่อการบรรลุเป้าหมายอุณหภูมิดังกล่าว
สหประชาชาติประกาศว่า ในปี 2023 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ (NOAA) รายงานว่าอุณหภูมิได้เพิ่มขึ้นประมาณ 1.4 องศาเซลเซียส เหนือค่าเฉลี่ยในยุคก่อนอุตสาหกรรมภายในปี 2024
อุณหภูมิมหาสมุทรสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้แนวปะการังถูกทำลาย ประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากแนวปะการังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตใต้น้ำประมาณหนึ่งในสี่ และยังช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนราว 1,000 ล้านคน ดังนั้นการเสื่อมโทรมของแนวปะการังจึงเป็นภัยคุกคามทางเศรษฐกิจพอ ๆ กับภัยคุกคามต่อสิ่งแวดล้อม
รายงานชี้ให้เห็นถึงแนวปะการังในทะเลแคริบเบียนอยู่ในสถานะใกล้จะพังทลายเต็มที เนื่องจากคลื่นความร้อนทางทะเล จนผลักดันให้เกิดการระบาดของโรคต่าง ๆ และมีความหลากหลายทางชีวภาพต่ำ
นักวิทยาศาสตร์ได้ระบุว่า จุดพลิกผันของแนวปะการังเริ่มต้นเมื่อภาวะโลกร้อนสูงถึงประมาณ 1.2 องศาเซลเซียส หากอุณหภูมิเพิ่มขึ้นถึง 1.5 องศาเซลเซียสปะการังจะตายระหว่าง 70-90% โดยสมิธกล่าวว่าในตอนนี้โลกของเรากำลังอยู่ในช่วงกลางของการล่มสลายของแนวปะการังทั่วโลก
การตายของแนวปะการังมักเกิดจาก “การฟอกขาว” เมื่อความเครียดจากความร้อนทำให้ปะการังกำจัดสาหร่ายสีสันสดใสที่หล่อเลี้ยงแนวปะการัง และในที่สุดก็กลายเป็นสีซีดจางและอ่อนแอลง หากความเครียดยังคงอยู่และการฟอกขาวรุนแรงหรือยาวนาน ปะการังอาจตายลงอย่างสมบูรณ์
โครงการริเริ่มแนวปะการังนานาชาติประกาศเมื่อเดือนเมษายนว่า แนวปะการังทั่วโลกประมาณ 84% ในกว่า 80 ประเทศอยู่ภายใต้ภาวะเครียดจากความร้อน และระบุว่าเหตุการณ์ฟอกขาวครั้งใหญ่ครั้งนี้ “รุนแรงและกว้างขวางที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกมา”
สมิธคาดว่าปะการังกลุ่มเล็ก ๆ จะอยู่รอด และทุกคนควรให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ปะการังเหล่านี้ควบคู่ไปกับการลดภาวะโลกร้อนให้ได้มากที่สุด และรีบทำให้อุณหภูมิกลับมาอยู่ในระดับที่ปลอดภัย (สูงไม่เกิน 1-1.2 องศาเซลเซียส จากยุคอุตสาหกรรม) ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะหากทำไม่ได้เราจะไม่สามารถรักษาแนวปะการังน้ำอุ่นไว้ได้อีกเลย
“เรากำลังอยู่ในความเป็นจริงใหม่ เราสามารถพูดได้ว่าเราได้ผ่านจุดเปลี่ยนสำคัญประการแรกด้านสภาพภูมิอากาศแล้ว ซึ่งก็คือแนวปะการัง และแน่นอนว่าเราจะต้องพยายามลดความเสียหายลง ดังที่เรากล่าว ยิ่งเราสามารถลดคาร์บอนและนำก๊าซเรือนกระจกออกจากชั้นบรรยากาศได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น” เขากล่าว
นอกจากแนวปะการังแล้ว รายงานยังกล่าวว่าระบบสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ กำลังใกล้จะถึงจุดเปลี่ยนเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นป่าฝนแอมะซอน กระแสน้ำในมหาสมุทรที่มีอิทธิพลต่อรูปแบบสภาพอากาศ รวมถึงธารน้ำแข็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติกฝั่งตะวันตกและแผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์ ที่กำลังละลายและปล่อยน้ำจืดปริมาณเทียบเท่ากับน้ำตกไนแอการา 3 แห่งลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือทุกชั่วโมง ซึ่งใกล้จะถึงจุดวิกฤติอย่างน่าหวาดหวั่น
“เรากำลังแข่งกับเวลา เราต้องเปลี่ยนแปลงพื้นฐานด้านพลังงานทั้งหมดของสังคมภายในหนึ่งชั่วอายุคน เลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และมุ่งสู่อนาคตที่สะอาดและปลอดภัยยิ่งขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงจุดเปลี่ยนเหล่านี้ที่ไกลเกินแนวปะการัง และผลกระทบร้ายแรงที่จะเกิดขึ้น” สมิธกล่าว
รายงานระบุว่ามีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญในการเปลี่ยนไปสู่พลังงานหมุนเวียน โดยเน้นย้ำถึง “จุดเปลี่ยนเชิงบวก” ที่เกิดขึ้น เนื่องจากการใช้รถยนต์ไฟฟ้า พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลมแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังงานแสงอาทิตย์ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอย่างหนึ่งที่สมิธยกให้เป็น “เรื่องน่าทึ่ง” อย่างยิ่ง แม้ว่าเขาจะเน้นย้ำว่ายังต้องดำเนินการอีกมากอย่างเร่งด่วนเพื่อนำโลกกลับคืนสู่เส้นทางเดิม
“การรับฟังความคิดเห็นของผู้มีอำนาจตัดสินใจระดับสูงของเราจะเป็นสิ่งสำคัญ” สมิธกล่าว “เพราะสิ่งที่คนทั่วไปมองว่าเป็นเหตุการณ์ที่มีผลกระทบสูงแต่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อย กลับกลายเป็นเหตุการณ์ที่มีผลกระทบสูงแต่มีโอกาสเกิดขึ้นสูง หากเราไม่ลงมือทำอะไรในตอนนี้”
รายงานฉบับนี้ออกมาเพียงหนึ่งเดือนก่อนที่รัฐบาลต่าง ๆ จะประชุมกันที่บราซิลเพื่อเข้าร่วมการประชุม COP30 ซึ่งเป็นการประชุมประจำปีด้านสภาพภูมิอากาศขององค์การสหประชาชาติ ปีนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากประเทศต่าง ๆ ควรกำหนดเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในทศวรรษหน้า
โฆษณา