Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ดร.น้ำใจ : วิทยาศาสตร์และสังคมสิ่งแวดล้อม
•
ติดตาม
17 ต.ค. เวลา 22:00 • สิ่งแวดล้อม
🌿 Structure–Function: รากฐานวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมที่เชื่อมมนุษย์กับธรรมชาติ
🩵 Phase I — ระบบชีวิตและความเข้าใจธรรมชาติ (ตอนที่ 1/5)
“จากโครงสร้าง–หน้าที่ สู่การมองโลกในฐานะระบบเดียวกัน”
🖋️ โดย ดร.ณัฐณิชา ผ่องพุฒิ
“วิทยาศาสตร์คือความจริงของธรรมชาติ ส่วนสังคมคือความจริงของมนุษย์ —
เมื่อเรานำสองสิ่งนี้มาสนทนากัน โลกก็จะเข้าใจตัวเองมากขึ้น”
💧 1. โลกนี้คือระบบหนึ่งเดียว
หากเรามองโลกด้วยสายตาของนักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม เราจะเห็นว่า ทุกสิ่งในธรรมชาติล้วนเชื่อมโยงกันด้วยระบบ (system)
สิ่งมีชีวิต ดิน น้ำ อากาศ รวมถึงกิจกรรมของมนุษย์ ต่างเป็นองค์ประกอบย่อยที่แลกเปลี่ยนพลังงาน (Energy) สาร (Matter) และข้อมูล (Information) อย่างต่อเนื่อง
แนวคิดนี้ได้รับการอธิบายไว้อย่างชัดเจนโดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.เกษม จันทร์แก้ว ผู้บุกเบิก “วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมเชิงระบบ” ของไทย ท่านชี้ว่า
“ระบบสิ่งแวดล้อมคือหน่วยชีวิตที่ประกอบด้วยองค์ประกอบย่อยซึ่งสัมพันธ์กันด้วยพลังงานและสาร เพื่อทำหน้าที่รักษาสมดุลของชีวิตบนโลก”
การเข้าใจระบบจึงไม่ใช่แค่การรู้ส่วนประกอบ แต่คือการรู้ว่าแต่ละส่วนทำงานร่วมกันอย่างไร
หรือที่เรียกว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างและหน้าที่ของระบบ” (Structure–Function Relationship)
🌱 2. Structure คือร่างกายของระบบ
คำว่า “Structure” หมายถึง โครงสร้างของสิ่งที่เราเห็นและสัมผัสได้ ไม่ว่าจะเป็นภูเขา ลำน้ำ ป่าไม้ เมือง หรือชุมชนมนุษย์
แต่ละองค์ประกอบมีรูปร่างและตำแหน่งที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น ลุ่มน้ำที่รับน้ำจากภูเขาและส่งต่อสู่ที่ราบ, ป่าชายเลนที่ยึดเกาะตะกอนริมฝั่งทะเล, หรือเขื่อนที่กักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง
ในแง่ของ “สังคมสิ่งแวดล้อม” โครงสร้างยังรวมถึงสถาบัน (Institutions) นโยบาย (Policies) และวัฒนธรรม (Culture) ที่หล่อหลอมวิถีชีวิตของผู้คนด้วย
โครงสร้างเหล่านี้เปรียบเหมือน “กระดูกสันหลังของระบบ” ที่คอยพยุงและกำหนดขอบเขตการทำงานของฟังก์ชันต่าง ๆ
🌾 ตัวอย่าง: พื้นที่ต้นน้ำ (headwater zone) คือ structure ที่มีบทบาทดูดซับน้ำฝนและรักษาความชุ่มชื้น ส่วนพื้นที่ราบลุ่ม (floodplain) คือ structure ที่รองรับและกระจายน้ำในฤดูน้ำหลาก
🔄 3. Function คือหัวใจของระบบ
“Function” หมายถึง หน้าที่หรือกระบวนการที่เกิดจากโครงสร้างเหล่านั้นทำงานร่วมกัน
ในระบบนิเวศ (ecosystem) เราพูดถึง function ของการผลิต (production), การควบคุม (regulation), การค้ำจุน (support), และการให้คุณค่าเชิงวัฒนธรรม (cultural value)
ในระบบสังคมมนุษย์ function คือการบริหารจัดการ การแลกเปลี่ยนข้อมูล การตัดสินใจ หรือการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง
เมื่อโครงสร้างเปลี่ยน หน้าที่ก็เปลี่ยนตาม — เหมือนเมื่อพื้นที่ป่ากลายเป็นเมือง function ของการดูดซับคาร์บอนหายไป แต่ function ทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น
แนวคิดนี้เป็นสิ่งที่ ศ.เกษม จันทร์แก้ว ใช้อธิบายปรากฏการณ์เชิงนิเวศและสังคมมานานกว่า 40 ปี ท่านสรุปว่า
“ถ้าโครงสร้างเสีย หน้าที่ก็เสีย ถ้าหน้าที่บิดเบี้ยว โครงสร้างก็ทรุดตาม”
🏞️ 4. การมองลุ่มน้ำด้วยสายตาของระบบ
แนวคิด Structure–Function ถูกนำมาประยุกต์ใช้กับ ลุ่มน้ำ (Watershed) อย่างแพร่หลาย
โดยเฉพาะในงานของ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.นิพนธ์ ตั้งธรรม แห่งคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ท่านเป็นผู้บุกเบิกการวิจัยด้าน อุทกวิทยาป่าไม้ (Forest Hydrology) และ การจัดการลุ่มน้ำ (Watershed Management) ในประเทศไทย
งานของท่านได้แสดงให้เห็นว่า
ป่าต้นน้ำมี structure ที่ซับซ้อน ทั้งเรือนยอด ดิน ร่วน และรากไม้
โครงสร้างเหล่านี้สร้าง function สำคัญคือ การซับน้ำ (infiltration) และ การระเหยน้ำ (evapotranspiration)
เมื่อ structure ถูกทำลาย function ของระบบหมุนเวียนน้ำก็พังตาม นำไปสู่น้ำท่วม ดินถล่ม และภัยแล้ง
ท่านจึงเสนอหลัก “การจัดการแบบเข้าใจระบบ” (System-based Management) ว่า
“อย่ามองน้ำแยกจากป่า และอย่ามองป่าแยกจากคน เพราะทั้งหมดคือระบบเดียวกัน”
🧭 5. จาก Structure–Function สู่แนวคิด FBC (Function-Based Clusters)
เมื่อเรายอมรับว่าระบบสิ่งแวดล้อมทำงานบนฐานของโครงสร้างและหน้าที่ การบริหารจัดการจึงต้องเริ่มจาก “เข้าใจ function ของ structure แต่ละส่วน”
แนวคิดนี้พัฒนาโดยทีมวิจัย Function-Based Clusters (FBC) นำโดย ดร.กอบเกียรติ ผ่องพุฒิ ร่วมกับ ดร.ทศพล จตุระบุล, ดร.ไชยาพงษ์ เทพประสิทธิ์, และ ดร.ณัฐณิชา ผ่องพุฒิ
ซึ่งได้สังเคราะห์หลัก Structure–Function ของ ศ.เกษม และ ศ.นิพนธ์ เข้าสู่การประยุกต์จริงในระบบน้ำของประเทศ
FBC ของลุ่มน้ำ (Basin-Level FBCs) ใช้วิเคราะห์ “หน้าที่เชิงพื้นที่” เช่น
พื้นที่อนุรักษ์ (Conservation), พื้นที่กักเก็บ (Storage), พื้นที่ระบาย (Drainage), พื้นที่เศรษฐกิจ (Economic Zone), พื้นที่เกษตร (Agricultural Zone) และพื้นที่เปราะบาง (Vulnerable Zone)
ขณะที่ FBC ของสิ่งก่อสร้างชลประทาน (Infrastructure-Level FBCs) ใช้จัดระบบสิ่งก่อสร้างตาม “หน้าที่ทางเทคนิค” เช่น
กักเก็บ (Storage), ระบาย (Discharge), กระจาย (Distribution), ป้องกัน (Protection), สนับสนุน (Support), และ หลายหน้าที่ (Multi-function)
ทั้งสองระดับเชื่อมกันด้วยหลัก Structure–Function อย่างสมบูรณ์ —
โครงสร้างในเชิงพื้นที่ต้องสอดคล้องกับหน้าที่ของโครงสร้างทางเทคนิค เพื่อให้ระบบน้ำทั้งลุ่มทำงานเป็นหนึ่งเดียว
🌍 6. การมองระบบสิ่งแวดล้อมแบบพลวัต (Dynamic Systems Thinking)
สิ่งที่ทำให้ Structure–Function มีพลัง คือมันเปิดโอกาสให้เรา “เข้าใจการเปลี่ยนแปลง”
ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การรักษาระบบให้คงอยู่ไม่ได้หมายถึงการตรึงมันให้นิ่ง แต่คือการเปิดให้ระบบ “ฟื้นตัวและปรับตัวได้”
ในทางวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม เราเรียกสมบัตินี้ว่า Resilience — ความสามารถของระบบในการฟื้นคืนสภาพหลังเผชิญแรงกระแทก (shock)
เช่น ป่าที่ฟื้นตัวหลังไฟไหม้ หรือชุมชนที่ฟื้นเศรษฐกิจหลังน้ำท่วม
เมื่อมองผ่านแนวคิดนี้ การวางแผนสิ่งแวดล้อมต้องไม่เน้นแค่ “สร้างสิ่งใหม่” แต่ต้องคำนึงถึงการเสริม resilience ให้ระบบเดิมด้วย
🕊️ 7. วิทยาศาสตร์กับมนุษย์: เมื่อโครงสร้างและหน้าที่มาบรรจบกัน
ในทางปรัชญา “Structure–Function” ไม่ได้อยู่แค่ในธรรมชาติ แต่แทรกอยู่ในชีวิตของมนุษย์ทุกคน
เราทุกคนมี structure คือ ร่างกาย บทบาท และตำแหน่งในสังคม
แต่ function ของเราคือสิ่งที่เราทำเพื่อโลกนี้ — คือการใช้ความรู้ ความสามารถ และน้ำใจ เพื่อทำให้ระบบชีวิตของผู้อื่นดีขึ้น
“ดร.น้ำใจ” เองก็เติบโตมาบนเส้นทางที่เห็นคุณค่าของทั้งสองด้าน
โครงสร้างคือความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ส่วนหน้าที่คือการนำความรู้นั้นมาเชื่อมโยงกับผู้คน เพื่อสร้างความเข้าใจและความร่วมมือ
ดังนั้น วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของ data หรือ model แต่คือเรื่องของ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับโลก
🔬 8. การมองอนาคตของวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมไทย
เมื่อเข้าสู่ยุคที่ปัญหาสิ่งแวดล้อมซับซ้อนขึ้น — จาก climate change ถึง urban flood — เราต้องการ “ระบบคิดใหม่” ที่เชื่อมวิทยาศาสตร์เข้ากับสังคม
แนวคิด Structure–Function จึงยังทันสมัยเสมอ เพราะมันเป็น “กรอบคิดแบบเปิด” ที่เราสามารถต่อยอดเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ใหม่ ๆ ได้ตลอดเวลา
จากงานของ ศ.เกษม จันทร์แก้ว เรามีรากฐานทางความคิด
จากงานของ ศ.นิพนธ์ ตั้งธรรม เรามีหลักฐานเชิงประจักษ์ในลุ่มน้ำ
และจากงานของ ทีม FBC เรามีเครื่องมือประยุกต์เพื่อวางแผนอนาคตของประเทศ
ทั้งหมดนี้คือการเดินทางต่อเนื่องของแนวคิด Structure–Function ที่ยังคงเติบโตในผืนดินไทย
🌾 9. ข้อคิดส่งท้ายจาก “ดร.น้ำใจ”
“เมื่อเราเข้าใจโครงสร้าง เราจะรู้ว่าระบบทำงานอย่างไร
เมื่อเราเข้าใจหน้าที่ เราจะรู้ว่าจะดูแลระบบอย่างไรให้ยั่งยืน”
ธรรมชาติไม่เคยแยกตัวออกจากมนุษย์
และวิทยาศาสตร์ที่แท้จริงก็ไม่ควรแยกออกจากความเป็นมนุษย์เช่นกัน
เพราะในที่สุดแล้ว ความยั่งยืนไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว —
แต่มันเกิดจาก “น้ำใจของผู้คนในระบบนั้น” ที่รู้จักเข้าใจซึ่งกันและกัน
#ดรน้ำใจ #วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม #StructureFunction #FBC #SEA #Watershed #EnvironmentalScience #Blockdit
สิ่งแวดล้อม
สังคม
วิทยาศาสตร์
3 บันทึก
2
12
3
2
12
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย