17 ต.ค. เวลา 14:33 • ปรัชญา
เรื่องนำกายมานั่งๆ ปฏิบัติธรรม ให้เกิดสมาธิ ไม่มีอารมณ์ ฟุ้งเข้ามาเกิดขึ้นที่กาย ชั่วขณะหนึ่ง กายก็ได้พัก ไม่มีอารมณ์ ..กายก็นิ่ง จิตก็นิ่งเฉยได้ ไม่มีอารมณ์ หรือ คำว่านิวรณ์เกิดขึ้น กายก็สงบ ไม่มีอารมณ์ ไม่มีภาระอะไร กายก็นิ่ง ไม่เคลื่อนไหว จิตก็นิ่ง ..ไม่มีอารมณ์นึกคิดอะไร มาเผาผลาญจิต วิญญาณหก ก็ไม่มีอารมณ์รบกวน ขันธ์ทั้งห้า ไม่มีภาระ ธาตุทั้งสี่ ก็นิ่ง ไม่มีภาระ.
พอออกจากสมาธิ กายก็เบา จิตก็เบา แม้แต่การทำบุญ เรากายก็ได้พัก มีความอิ่มเอิบกาย ไม่หิว .อิ่มบุญ กายที่มีบุญกุศลเกิดขึ้น ก็ไม่มีสิ่งที่เร่าร้อน เพราะอารมณ์ กายก็ได้พักผ่อนจากอารมณ์ จิตที่อาศัยในกาย ที่ไม่มีอารมณ์ จิตก็ได้พักไปด้วย พักกายพักจิต ไม่มีอารมณ์ ทั้งกายทั้งจิต ก็มีความสุข ..สุขกายสุขใจ ไม่มีอารมณ์กรรมตัวกระทำ เกิดขึ้น แม้ชั่วขณะหนึ่งก็ยังดี พักกาย พักจิต ..กายไม่มีภาระ จิตก็ไม่มีภาระอะไร .ก็อยูนิ่งเฉย ลมหายใจก็สะอาด ไม่มีอารมณ์รบกวน
การปฏิบัติต้องทำจริงจัง เห็นความสำคัญ ที่จะปฏิบัติธรรม หากไม่ตั้งใจทำ มันก็ไม่ได้อะไรเลย ปฏิบัติธรรมทั้งที มีแต่อารมณ์ นึกคิด เสีย้เวลามานั่งมาเดิน แล้วว่าปฏิบัติธรรม แท้จริงทั้งกายอละจิตไม่ได้อะไร ไม่ได้ว่างเว้นจากอารมณ์กรรมเลน..เสียเวลา อุตส่าห์นำกายมานั่งพับเพียบปฏิบัติธรรม..
เรื่องของการนำกายมาฝึกหัดปฏิบัติธรรม อาศัยรอยทั้งสี่ของพระ พระ..ยืน เดิน นั่ง นอน ..ไม่นึดคิดอะไร
.ก่อนจะทำเราก็นอบน้อม กราบพระเสียก่อน พูดให้หูเราได้ยิน จิตของข้าพเจ้า อาศัยอยู่ในเรือนกายของคุณบิดามารดา ณ สถานสักาการนี้ ต่อเบื้องพระพักตร์ขององใพระสัมมาสัมพุทธเจ้าข้าพเจ้าได้นำธาตุทั้งสองของคุณบิดามารดา พระแม่ทั้งสี่ มาประพฤติปฏิบัติธรรม ตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเรือนกายบิดามารดาของข้าพเจ้า เพื่อให้เกิดศีลสมาธิปัญญา หรือ น้อมถวาย เป็นพุทธบูชา เป็นเวลา .? นาที
ขอให้ดินฟ้าอากาศเป็นสักขีพยานในการกระทำของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขออาราธนาแสงรัตนะธรรม ธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โปรดหนุนนำจ้ตของข้าพเจ้า ให้รู้แจ้งเห็นจรง ตามคำสอนขององค์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เรื่องการปฏิบัติธรรม สวดมนต์ นั่งสมาธิ เราก็ต้องสำรวจกาย สำรวจจิตของตัวเอง พูดบอกตัว เอง นั่งกายตรงๆ สำรวจตัวเอง เหมือนออกคำสังให้กายและจิต พูดออกมา ..กายนิ่ง จิตเฉย..แล้วก็สำรวจดูกาย ดูจิต นิ่งมั่ย ..เมื่อกายนิ่ง จิตก็จะนิ่งไปตามกาย เราก็ค่อยยกมือพนม มากราบพระ กราบด้วยจิต ที่มีสติสัมปชัญญะในการกราบพระ ทำให้ดีตั้งแต่การกราบ .ก็ช่วยให้การสวดมนต์ ปฏิบัติธรรมนั้น ดีไปตลอดที่เรากระทำ ..
คราวนี้ เมื่อปฏิบัติธรรมเสร็จเราก็กราบลา แล้วก็สำรวจตัวเอง กายและจิตเราเป็นอย่างไร บางครั้งมันอารมณ์นึกคิด เวทนามาก ..เราก็เดินจงกรมขึ้นเดิน .ไม่นึกคิดอะไร เวลาเวทนามันผุดขึ้นมา เราก็ฝืนเดิน .หรือพูด คำว่า พุทโธออกมา .เดินไปเรื่อย จนครบเวลา
เมื่อปฏิบัติธรรมเสร็จแต่ละครั้ง ก็ต้องสำรวจตรวจสอบตัวเอง มีอะไรเกิดขึ้น การปฏิบัตินั้น มีอุปสรรคอะไร เพื่อที่เราจะได้ค่อยแก้ไข ปรับปรุงให้ดีขึ้น .เมื่อเราทำบ่อยๆ ชำนาญขึ้น จิตเป็นสมาธิมากขึ้น ระหว่างปฏิบัติ จิตก็มีกำลังขึ้น เมื่อปฎิบัติเสร็จ กายก็มีกำลังขึ้น จิตก็เข้มแข็งขึ้น ที่จะไปเรียนรู้จักอารมณ์ เท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นในกายที่จิตตัวเองอาศัย
เรื่องราวของการพัก เรื่องราว การทำวิญญาณ นั่นให้เป็นบุญ นั่นก็เรื่องที่ตาเราเห็นรูป เห็นแล้วไม่ชอบใจไม่พอใจ นั่นก็เรื่องตาเรา ไม่มีบุญ มันก็เป็นอย่างนั้น เห็นคนนั้นคนนี้ ก็ไม่พอใจ ตานั่น มีแต่กรรมหล่อเลี้ยง มันก็เป็นอย่างนี้เกิดขึ้น ที่เค้าเรียกว่า ตาเป็นไฟ หูเป็นไฟ …วิญญาณก็ถูกอารมณ์เผาผลาญไปเรื่อย ก็แก้ไขไม่ได้เลย แล้วจะให้พรหมวิหาร มาห้อมล้อมจิต มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะไฟ ..ของอารมณ์ แผดเผาให้ร้อน ร้อนเวรกรรม..พักกายพักจิตไม่ได้เลย แม้แต้เสี้ยวนาที ก็พักไม่ได้พัก อารมณ์นึกคิดไม่ได้เลย
บางคนก็ทั้งชีวิต ก็ไม่เคย ให้กายได้พัก . ปราศจากอารมณ์เลย กายก็เลยมีแต่กรรม มีแต่ทุกข์ หยุดอารมณ์ไม่ได้ อารมณ์ก็เป็นไฟ เผาผลาญกายไปเรื่อย เลือดลมก็เป็นสีดำ ติดขัด ปวดเมื่อย . ปลดเปลื้องเอาสีดำออกไปไม่ได้ ก็ต้องมีเวรกรรม มีอารมณ์ ไปเรื่อย สลัดอารมณ์ไม่ได้เลย กายก็หนัก จิตก็หนัก ทั่วสารพางค์กาย .เจ็บป่วยเกิด เป็นธรรมดา ของจิตทีมีกรรม กายป่วย จิตก็ป่วยไปตามกาย
โฆษณา