18 ต.ค. เวลา 14:39 • ธุรกิจ

อวสานยุคเซียนพระ? จะเกิดอะไรขึ้นถ้า AI ลงสนามจับพระเก๊!

เคยสงสัยไหมครับ ว่าวัตถุขนาดเล็กที่เรียกว่า “พระเครื่อง” ซึ่งคนไทยจำนวนมากมีไว้ในครอบครอง ทำไมบางองค์ถึงมีมูลค่าสูงกว่า Supercar ราคาหลายสิบล้านบาทเสียอีก
1
อะไรคือกลไกที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการตีมูลค่าของวัตถุแห่งศรัทธาเหล่านี้ จากพระราคาหลักร้อยที่พบเห็นได้ทั่วไป สู่ของสะสมหายากที่มีราคาซื้อขายกันในระดับบ้านและที่ดิน
1
และในยุคที่เทคโนโลยีอย่าง AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกในทุกมิติ วงการที่ดูเหมือนจะอยู่นอกเหนือกาลเวลาและขับเคลื่อนด้วยสายตาของคนเพียงไม่กี่กลุ่ม กำลังจะเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์
นี่คือเรื่องราวของ “วงการพระเครื่อง” ระบบนิเวศทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมมูลค่ามหาศาล ที่กำลังยืนอยู่บนทางแยกสำคัญระหว่างขนบธรรมเนียมดั้งเดิม กับคลื่นแห่งเทคโนโลยีที่กำลังจะซัดเข้ามา
หากเรามองย้อนกลับไป จุดเริ่มต้นของพระเครื่องไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องของเงินทอง แต่เป็นเรื่องของความศรัทธาโดยแท้ พระเครื่องถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ หรือเป็นอนุสรณ์ในการสืบทอดพระพุทธศาสนา
แต่เมื่อกาลเวลาผันผ่าน ความเชื่อในเรื่องของ “พุทธคุณ” หรือพลังศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตอยู่ในองค์พระ ก็ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญ จนกลายเป็นหัวใจที่คอยหล่อเลี้ยงให้วงการนี้เติบโตและขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง
ความเชื่อนี้ได้ก่อให้เกิดระบบนิเวศขนาดใหญ่ ที่มีผู้เล่นหลากหลายกลุ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง ตั้งแต่นักสะสมที่เก็บพระด้วยใจรัก ไปจนถึงนักลงทุนที่มองพระเครื่องเป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่งที่ไม่ต่างจากทองคำหรืองานศิลปะ
แต่บุคคลที่สำคัญที่สุด ซึ่งเปรียบเสมือนผู้คุมกฎและเป็นศูนย์กลางของเรื่องราวทั้งหมด ก็คือกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่า “เซียนพระ”
เซียนพระ คือผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการยอมรับนับถือในวงการ ว่ามีสายตาและประสบการณ์ที่เฉียบคม สามารถแยกแยะได้ว่าพระองค์ไหนคือ “พระแท้” ที่สร้างขึ้นในยุคสมัยนั้นจริงๆ และองค์ไหนคือ “พระเก๊” ที่ทำขึ้นมาเพื่อลอกเลียนแบบ
ในโลกที่ไม่มีมาตรฐานกลาง ไม่มีเครื่องมือชี้วัดที่ชัดเจน สายตาและคำตัดสินของเซียนพระ จึงมีสถานะไม่ต่างจากกฎหมายสูงสุด
คำพูดของเซียนพระเพียงไม่กี่คำ สามารถเปลี่ยนพระดินเผาที่ดูธรรมดา ให้กลายเป็นของล้ำค่าราคานับล้านได้ในชั่วข้ามคืน และในทางกลับกัน ก็สามารถทำให้พระที่มีคนเชื่อว่าเป็นของแท้ กลายเป็นของที่ไร้ค่าไปเลยทันที
มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจนะครับ ในเมื่อมูลค่ามหาศาลของพระเครื่อง ถูกแขวนไว้บนเส้นด้ายแห่งการตัดสินว่า “แท้” หรือ “เก๊” คำถามสำคัญที่ตามมาก็คือ แล้วเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าการตัดสินจากสายตาของมนุษย์นั้นถูกต้องเสมอ?
นี่คือความขัดแย้งที่อยู่ใจกลางวงการนี้มาเนิ่นนาน เป็นเกมการแข่งขันที่วัดกันระหว่างฝีมือของคนทำพระปลอม กับสายตาและประสบการณ์ของคนดูพระแท้
เมื่อเดิมพันสูงถึงระดับนี้ การตรวจสอบพระจึงไม่ใช่เรื่องที่ใครก็ทำได้ แต่มันคือศาสตร์และศิลป์ที่ต้องใช้เวลาทั้งชีวิตในการฝึกฝนและสั่งสมประสบการณ์
ความรู้เหล่านี้เคยถูกส่งต่อกันแบบปากต่อปาก จากรุ่นสู่รุ่นในหมู่ผู้เชี่ยวชาญ กลายเป็นองค์ความรู้ที่จับต้องได้ยาก และมีเพียงคนในวงการเท่านั้นที่จะเข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง
หัวใจหลักของการตรวจสอบแบบดั้งเดิมนี้ มีองค์ประกอบสำคัญ 4 อย่างที่เซียนพระทุกคนต้องจดจำให้ขึ้นใจ เริ่มจาก “ทรงพิมพ์” ซึ่งก็คือรูปลักษณ์และรายละเอียดโดยรวมขององค์พระ
1
หลักการพื้นฐานคือ พระที่สร้างจากแม่พิมพ์เดียวกัน ก็ควรจะมีหน้าตาและสัดส่วนเหมือนกันทุกประการ พระเก๊ที่เกิดจากการถอดพิมพ์ มักจะมีความตื้นเขินหรือมีรายละเอียดบางอย่างที่ผิดเพี้ยนไป
1
ต่อมาคือ “เนื้อหา” หรือมวลสารที่ใช้สร้างพระ ซึ่งมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไปในแต่ละสำนักและยุคสมัย เซียนพระที่ชำนาญจะจดจำได้ว่าเนื้อพระรุ่นนี้ต้องมีส่วนผสมอะไรบ้าง หรือมีลักษณะทางกายภาพเป็นอย่างไร
1
องค์ประกอบที่สามคือ “ตำหนิ” ซึ่งเป็นร่องรอยเล็กๆ ที่เกิดขึ้นบนแม่พิมพ์โดยไม่ได้ตั้งใจ และมันจะปรากฏอยู่บนพระทุกองค์ที่ออกมาจากแม่พิมพ์นั้นๆ เปรียบเสมือนรหัสลับที่คนทำพระเก๊มักจะมองข้ามไป
1
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด และเป็นสิ่งที่ปลอมแปลงได้ยากที่สุด คือองค์ประกอบสุดท้ายที่เรียกว่า “ธรรมชาติความเก่า”
1
เฉกเช่นเดียวกับวัตถุโบราณอื่นๆ พระเครื่องที่มีอายุหลายสิบหรือหลายร้อยปี จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพไปตามกาลเวลาอย่างเป็นธรรมชาติ
1
พระเนื้อดินจะมีความแห้งและความหดตัว พระเนื้อโลหะจะเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น หรือเกิดสนิมในรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่ง “ความเก่า” ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาตินี่เอง คือไม้ตายที่เซียนพระใช้ในการตัดสินชี้ขาด
1
นี่คือทักษะที่น่าทึ่งและต้องอาศัยประสบการณ์อย่างสูง แต่ในขณะเดียวกัน ระบบที่พึ่งพาสายตาของมนุษย์เพียงอย่างเดียว ก็ย่อมมีช่องโหว่และความเป็นอัตวิสัยซ่อนอยู่
ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เสมอ และที่สำคัญคือ คนทำพระเก๊ในปัจจุบันก็มีเทคโนโลยีและฝีมือที่สูงขึ้นมาก จนสามารถสร้างพระเก๊ฝีมือเฉียบที่หลอกสายตาผู้เชี่ยวชาญเก่งๆ ได้เช่นกัน
1
และนั่นคือจุดที่ “วิทยาศาสตร์” เริ่มก้าวเข้ามามีบทบาท เพื่อท้าทายขนบธรรมเนียมที่เคยเป็นมา
1
วงการพระเครื่องที่ดูเหมือนจะขับเคลื่อนด้วยความเชื่อเป็นหลัก เริ่มถูกสั่นคลอนด้วยเทคโนโลยีที่ไม่เคยมีมาก่อน อุปกรณ์ชิ้นแรกๆ ที่เข้ามาเปลี่ยนเกมก็คือ “กล้องจุลทรรศน์” กำลังขยายสูง
1
มันช่วยให้เซียนพระยุคใหม่มองเห็นรายละเอียดของ “ธรรมชาติความเก่า” ได้ลึกซึ้งกว่าที่ตาเปล่าเคยเห็นนับร้อยเท่า ทำให้การตรวจสอบมีความแม่นยำและเป็นรูปธรรมมากขึ้น
1
แต่เทคโนโลยีที่สร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างแท้จริง และอาจจะเปลี่ยนโฉมหน้าของวงการไปตลอดกาล คือเครื่องมือที่เรียกว่า XRF หรือ X-ray Fluorescence
1
อาจจะเรียกสิ่งนี้ว่าเครื่องตรวจ DNA ของพระเครื่องก็ได้ โดยเฉพาะพระที่สร้างจากโลหะ เครื่อง XRF สามารถวิเคราะห์ส่วนประกอบของธาตุในองค์พระได้อย่างแม่นยำ ว่ามีทองแดงกี่เปอร์เซ็นต์ สังกะสีกี่เปอร์เซ็นต์
ข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์เหล่านี้ สามารถใช้เปรียบเทียบกับสูตรเนื้อโลหะมาตรฐานของพระรุ่นนั้นๆ ที่เคยมีการบันทึกไว้ได้เลย ถ้าส่วนผสมไม่ตรง ก็แทบจะสรุปได้ทันที โดยไม่ต้องถกเถียงกันด้วยสายตาอีกต่อไป
พร้อมกันนั้น ก็เกิดระบบ “การออกใบรับรอง” โดยสมาคมหรือองค์กรกลางขึ้นมา เพื่อสร้างมาตรฐานและความน่าเชื่อถือให้ตลาด พระจะถูกตรวจสอบโดยคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญหลายคน ไม่ใช่แค่คนเดียว
1
จะเห็นได้ว่า สงครามระหว่าง “ศิลป์” ในการใช้สายตาแบบดั้งเดิม กับ “ศาสตร์” ของเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
1
แต่คำถามที่น่าสนใจและท้าทายกว่านั้นก็คือ… แล้วถ้าเราจะก้าวไปให้ไกลกว่านั้นอีกขั้นล่ะ?
ในยุคที่ AI สามารถทำในสิ่งที่เคยเป็นไปไม่ได้มากมาย ทำไมเรายังต้องพึ่งพาสายตามนุษย์ในการตัดสินมูลค่าของวัตถุเหล่านี้อยู่อีก
1
ลองจินตนาการถึงโลกในอนาคตอันใกล้ ที่มีการสร้าง “สุดยอดฐานข้อมูลพระเครื่อง” ขึ้นมา โดยการนำพระแทต้องค์ครูทุกรุ่นทุกพิมพ์ มาสแกนด้วยเครื่องสแกน 3 มิติ ควบคู่ไปกับการเก็บข้อมูลมวลสารด้วยเครื่อง XRF
1
เมื่อเรามี “ลายนิ้วมือดิจิทัล” ของพระแท้ทุกองค์เก็บไว้ในระบบแล้ว เราก็สามารถป้อนข้อมูลมหาศาลเหล่านี้ให้กับ AI ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
2
AI จะเรียนรู้ทุกแง่มุมของพระแท้ ทั้งทรงพิมพ์ที่สมบูรณ์แบบ ตำแหน่งตำหนิที่ถูกต้อง ไปจนถึงสูตรเนื้อโลหะที่เป็นมาตรฐาน ในระดับที่ละเอียดกว่าที่มนุษย์จะจดจำได้ทั้งหมด
1
เมื่อมีคนนำพระมาตรวจสอบ ก็เพียงแค่นำพระองค์นั้นเข้าเครื่องสแกน AI ก็จะเปรียบเทียบข้อมูลทั้งหมดกับฐานข้อมูล แล้วประมวลผลออกมาเป็นความน่าจะเป็น ว่าพระองค์นี้มีโอกาสเป็นของแท้หรือไม่
1
นี่คือสิ่งที่จะเข้ามาแก้ปัญหาใหญ่ที่สุดของวงการ นั่นคือการลดทอนการตัดสินจากความรู้สึกส่วนตัวออกไป เหลือไว้แต่ข้อมูลและความจริงที่พิสูจน์ได้
1
อย่างไรก็ตาม ยังมีปราการด่านสุดท้ายที่แข็งแกร่งที่สุด ที่ AI ยังต้องพยายามก้าวข้ามให้ได้ นั่นก็คือการเรียนรู้ “ศิลปะ” ของ “ธรรมชาติความเก่า”
1
อย่างที่กล่าวไปว่าความเก่าที่เกิดขึ้นตามกาลเวลามันไม่มีรูปแบบที่ตายตัว การจะสอนให้ AI เข้าใจและแยกแยะความแตกต่างที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้ได้ คือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน
1
ดังนั้น หากถามว่าในอนาคต เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทชี้ขาดได้หรือไม่ คำตอบก็คือ “ใช่… แต่ไม่ใช่การแทนที่แบบสมบูรณ์”
1
เทคโนโลยีและ AI จะเข้ามาทำหน้าที่ในส่วนของ “การตรวจสอบ” หรือ Authentication ได้อย่างสมบูรณ์แบบและแม่นยำกว่ามนุษย์ จนกลายเป็นเครื่องมือมาตรฐานที่ทุกคนต้องใช้
แต่บทบาทของ “เซียนพระ” จะไม่หายไปไหน เพียงแต่มันจะวิวัฒนาการไปอีกระดับหนึ่ง จากเดิมที่เป็น “ผู้ตรวจสอบ” พวกเขาจะกลายเป็น “ผู้ตีความข้อมูล” และ “ผู้ประเมินคุณค่า” ในเชิงลึก
AI บอกได้ว่าพระองค์นี้ “แท้” แต่ AI บอกไม่ได้ว่าพระองค์นี้ “สวย” แค่ไหน มีเสน่ห์ทางศิลปะอย่างไร และมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจเบื้องหลังอย่างไรบ้าง
หน้าที่ในการประเมินคุณค่าเชิงสุนทรียะ และการให้คำปรึกษาในเชิงลึก ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยประสบการณ์และมุมมองของมนุษย์อยู่
และอาจจะมีเทคโนโลยีอย่าง Blockchain เข้ามาเติมเต็มภาพนี้ให้สมบูรณ์ โดยใช้สร้างใบรับรองดิจิทัลที่ปลอมแปลงไม่ได้ และบันทึกประวัติการเปลี่ยนมือของพระแต่ละองค์ได้อย่างโปร่งใส
1
สุดท้ายแล้ว โลกของวงการพระเครื่องในอนาคต จะเป็นโลกที่ความศรัทธาและความเชื่อมั่น ถูกวางอยู่บนรากฐานของข้อมูลที่ทุกคนสามารถเข้าถึงและตรวจสอบได้
1
มันอาจจะลดทอนความขลังหรือมนต์เสน่ห์บางอย่างลงไป แต่ในขณะเดียวกัน มันก็จะเปิดประตูให้คนรุ่นใหม่สามารถเข้ามาศึกษาและสะสมได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
1
และนี่ก็คือเรื่องราวการเดินทางของวงการพระเครื่อง จากตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยศรัทธาและสายตา สู่ยุคใหม่ที่วิทยาศาสตร์และ AI กำลังจะเข้ามาสร้างมาตรฐานและความจริงในรูปแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
ซึ่งมันก็ได้พิสูจน์ให้เราเห็นอีกครั้งว่า ไม่ว่าจะเป็นวงการไหนก็ตาม สุดท้ายแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถต้านทานกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้ไปได้..
References : [samakomphra,thaprachan,matichon,khaosod]
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา