เล่มนี้เป็นเล่มแรกของหนังสือชุด The Empyrean ที่ผู้เขียนวางแผนไว้ว่าจะมี 5 เล่ม (ปัจจุบันออกมา 3 เล่มแล้ว) และได้รับรางวัล The British Book Awards 2024 ประเภท Page Turner Book of the Year ด้วย
ผมขอเตือนก่อนว่าหนังสือเล่มนี้ไม่เหมาะกับการให้เด็กอ่านเองหรือแม้กระทั่งอ่านให้ลูกฟังก่อนนอน เพราะเนื้อหาติดเรทเกิน 18+ เด็กจะต้องมีคำถามแน่นอนว่า แก่นกายคืออะไร ปุ่มกระสันคืออะไร ลำบากผู้ใหญ่ต้องมาอธิบาย แสดงภาพให้ดูไม่ได้ด้วย Ha Ha Ha
ช่วงแรกของเรื่องอ่านไปจะให้ความรู้สึกเหมือนกำลังฟังเพลง Numb ของ Linkin Park เพราะไวโอเล็ต นางเอกของเรื่องมักจะถูกผู้คนรอบข้างกำหนดให้เป็นในสิ่งที่คนอื่นต้องการ และผู้คนต่างไม่เชื่อมั่นในตัวไวโอเล็ตว่าจะทำสิ่งต่างๆ ได้ดี ผมว่าถ้ามีการนำเรื่องนี้ไปทำเป็นซีรีส์ควรนำเพลงนี้มาประกอบจะเหมาะมาก เนื้อเพลง I'm tired of being what you want me to be…Every step that I take is another mistake to you ลอยมาเลย
วิทยาลัยการทหารบาสไกอัท (Basgiath War College หรือ BWC) เป็นสถานที่ฝึกทหารในการรบและปกป้องอาณาจักรนาวาร์ ที่ฝั่งตัวละครเอกของเรื่องพักอาศัยและฝึกฝนอยู่
ทำให้ไวโอเล็ตไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะเป็นผู้ขี่มังกร เสียเวลาไปกับการอ่านหนังสือและฝึกฝนเพื่อเป็นอาลักษณ์ เมื่อถึงเวลาลิลิธจึงต้องบังคับให้ไวโอเล็ตฝึกฝนเพื่อเป็นผู้ขี่มังกรตามที่ตัวเองคาดหวังไว้ว่า “ตระกูลซอร์เรนเกลทุกคนต้องเป็นผู้ขี่มังกร” ดังที่เธอพูดไว้ว่า “I will not watch one of my children enter the scribe quadrant”
มังกรมีความผูกพันกับมนุษย์ผู้ถูกเลือกอย่างมาก ถึงขนาดมีคำกล่าวว่า “A dragon without its rider is a tragedy. A rider without their dragon is dead.” (มังกรที่สูญเสียผู้ขี่คือโศกนาฏกรรม ผู้ขี่ที่สูญเสียมังกรคือคนตาย) ดังนั้นถ้ามังกรตายผู้ขี่จะตายตามไปด้วย แต่ถ้าผู้ขี่ตายหากพันธะไม่ได้ผูกพันกันมากมังกรก็อาจจะไม่ตายตาม
เพราะฉะนั้นฉบับแปลไทย ตัวละครในเรื่องมักจะอุทานว่า “โอ้วทวยเทพ” เนื่องจากพื้นหลังของเรื่องมีการนับถือและบูชาเทพเจ้านั่นเอง โอ้วทวยเทพจึงไม่ใช่การแปลมาจากคำอุทานทั่วไปว่า Oh my god นะ
หรือจะเป็นตอนที่ไวโอเล็ตกบ่นกับตัวเองเวลาเจอปัญหาเช่น “If I panic, I’ll die. If I slip, I’ll die. If I… Oh, fuck it. There’s nothing more I can do to prepare for this. ทำให้อ่านไปก็ยิ้มไป
ผู้เขียนยังฉลาดในการเล่าเรื่องให้ลื่นไหลทำให้ไม่ดูน่าเบื่อเกินไป จึงใช้วิธีเล่าประวัติความเป็นมาของตัวละครหรือสถานที่ผ่านการให้ไวโอเล็ตที่เป็นหนอนหนังสือพูดออกมาในขณะที่ไวโอเล็ตกำลังต้องการทำจิตใจให้สงบอย่างตอนที่ไวโอเล็ตพูดไว้ว่า “I am a scholar. There’s nowhere as calming as the archives, so that’s what I think of. Facts Logic. History. …The Continent is home to two kingdoms—and we’ve been at war four hundred years.”
การพัฒนาตัวละครที่ค่อยๆ เติบโตจากอ่อนแอไปสู่เข้มแข็ง แม้ไวโอเล็ตจะดูบอบบางและอ่อนแอ และขี่มังกรได้ไม่คล่องสักที แต่ผู้เขียนก็ทดแทนด้วยสติปัญญาและความคล่องตัว บวกกับการได้มังกรดีที่ผูกพันธะด้วยทำให้ช่วงท้ายเล่มไวโอเล็ตมีพลังที่สามารถฆ่าศัตรูได้ด้วย one hit kill เลยละ
ข้อเสีย คือ ช่วงท้ายเล่มผู้เขียนอธิบายถึงฉากเซ็กส์บ่อยมาก บรรยายละะอียดลึกซึ้งหลายสิบหน้า ประหนึ่งว่าอยากให้เราไปร่วมสังเกตการณ์ทุกกระบวนท่าร่วมรักของตัวละคร แม้เราจะเป็นผู้ชายแต่พอมันเยอะไปทำให้รู้สึกรำคาญเหมือนกันนะ บางทีอยากอ่านฉากบู๊แล้วอะ นี่ก็จะจัดกันอย่างเดียวเลย ก็เข้าใจแนวเรื่องของผู้เขียนนะว่าเป็นแนว romantic fantasy แต่บรรยายขนาดนี้ไม่ใช่แค่โรแมนติกแล้วแหละ นี่มันหนัง x ชัด ๆ 555 ตกใจตรงผู้เขียนเป็นผู้หญิงนี่สิ บางทีโลกเราก็ไปไกลจนตามไม่ทันนะ Ha Ha Ha
ความคลั่งรักของไวโอเล็ตเยอะเกินไป ประมาณว่าฉันคิดถึงเธอกลางวัน ฝันถึงเธอกลางคืน ไม่เป็นอันตั้งใจเรียนเลยละ Ha Ha Ha แต่ก็เข้าใจได้นะก็หนอนหนังสือที่มีความรักในช่วงวัยรุ่นก็น่าจะเป็นแบบนี้แหละ
5.I don’t give a shit = ฉันไม่สนใจ (เป็นภาษาพูดที่ค่อนข้างหยาบคาย)
ข้อคิดสอนใจ
1.บางเรื่องแม้เราไม่ต้องการกระทำ แต่มันเป็นสิ่งที่ต้องทำ และเมื่อลงมือทำแล้วก็ควรทำอย่างสุดความสามารถ แม้ใครๆ ต่างก็คิดว่าเราทำไม่ได้ก็ตาม ตัวอย่างเช่นตอนที่ มิราและเดนต่างก็กล่าวกับไวโอเล็ตในทำนองเดียวกันว่า “You were never meant for the riders quadrant” แต่สุดท้ายไวโอเล็ตก็ทำจนสำเร็จพิสูจน์ตัวเองได้ว่าคู่ควรกับจตุภาคผู้ขี่มังกร
3.บางครั้งสิ่งที่เราเชื่อมั่นมาตลอดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง มันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อถึงทางเลือกที่ต้องเลือก จงเลือกอย่างมีสติ อย่างที่ Peter Drucker กล่าวคำคมไว้ว่า “It’s more important to do the right thing than to do things right”