19 ต.ค. เวลา 13:30 • สุขภาพ

เรื่องน่าทึ่งของค่าไต ยาแก้ข้ออักเสบ อาจกำลังช่วยสร้างกล้ามเนื้อให้คุณโดยไม่รู้ตัว

ในโลกของเภสัชกรรมและการใช้ยา มีสถานการณ์หนึ่งที่มักจะสร้างความกังวลใจให้กับทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์อยู่เสมอ นั่นคือเมื่อผลตรวจเลือดที่แสดงให้เห็นว่า "ค่าไต" ของผู้ป่วยสูงขึ้นหลังจากเริ่มใช้ยาตัวใหม่
คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในใจของทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือยานี้กำลังเป็นพิษต่อไตหรือไม่? และสำหรับยาที่ชื่อว่า "โทฟาซิทินิบ" (Tofacitinib) ซึ่งเป็นยาที่ทรงประสิทธิภาพในการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ คำถามนี้ก็ได้วนเวียนอยู่ในวงการแพทย์มาโดยตลอด เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่ายาตัวนี้มักจะทำให้ค่าเลือดที่เรียกว่า "ครีเอตินิน" (Creatinine) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดการทำงานของไตที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุด สูงขึ้นเล็กน้อยในผู้ป่วยหลายราย
วันนี้เลยอยากจะมาชวนทุกท่านออกเดินทางไปร่วมไขปริศนาที่น่าทึ่งนี้ด้วยกันครับ มันคือการเดินทางที่อาจจะเปลี่ยนมุมมองของเราที่มีต่อผลเลือดธรรมดาๆ ไปตลอดกาล
จากการศึกษาครั้งสำคัญที่มีชื่อว่า "RAMUS" ซึ่งเพิ่งตีพิมพ์ลงในวารสารการแพทย์ชั้นนำอย่าง The Lancet Rheumatology นักวิทยาศาสตร์ไม่ได้เพียงแค่พยายามจะตอบคำถามว่ายานี้ปลอดภัยต่อไตหรือไม่ แต่พวกเขากลับค้นพบเรื่องราวที่ไม่คาดฝัน ซึ่งชี้ให้เห็นว่าค่าครีเอตินินที่สูงขึ้นนั้น อาจไม่ได้กำลังฟ้องร้องการทำงานของไตเลย แต่มันอาจจะเป็นเสียงกระซิบที่บ่งบอกถึงผลดีอันน่าประหลาดใจ นั่นคือยาแก้ข้ออักเสบตัวนี้อาจกำลังช่วยสร้างกล้ามเนื้อให้กับผู้ป่วยอยู่ก็เป็นได้ น่าประหลาดใจมากๆ
เพื่อที่จะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดนี้ เราต้องย้อนกลับไปทำความรู้จักกับพระเอกของเราอย่าง "ครีเอตินิน" กันเสียก่อนครับ
ครีเอตินินคือของเสียที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในร่างกายของเรา มันมาจากการสลายตัวของสารให้พลังงานในกล้ามเนื้อที่ชื่อว่า "ครีเอทีน"
ดังนั้น ปริมาณครีเอตินินที่ร่างกายสร้างขึ้นในแต่ละวันจึงมีความสัมพันธ์โดยตรงกับ "มวลกล้ามเนื้อ" ของเรา ยิ่งเรามีกล้ามเนื้อมากเท่าไหร่ ร่างกายก็จะผลิตครีเอตินินออกมามากขึ้นเท่านั้น
จากนั้นไตของเราก็จะทำหน้าที่เหมือนเครื่องกรองน้ำชั้นดี คอยกรองครีเอตินินออกจากเลือดและขับทิ้งไปกับปัสสาวะ ด้วยเหตุนี้เอง การที่ค่าครีเอตินินในเลือดสูงขึ้นจึงอาจมีที่มาจากสองเส้นทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เส้นทางแรกคือเส้นทางที่น่ากังวล นั่นคือ "ไตทำงานแย่ลง" ทำให้กรองของเสียได้น้อยลง แต่เส้นทางที่สองกลับเป็นเรื่องดี นั่นคือ "ร่างกายมีมวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น" ทำให้ผลิตครีเอตินินออกมามากขึ้น แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่ายาโทฟาซิทินิบกำลังพาผู้ป่วยไปในเส้นทางไหน?
นี่คือจุดที่การศึกษา RAMUS ได้เข้ามามอบคำตอบด้วยวิธีการที่ชาญฉลาดและรัดกุมที่สุด ทีมนักวิจัยได้ติดตามผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์จำนวน 15 คน ที่กำลังจะเริ่มต้นการรักษาด้วยยาโทฟาซิทินิบ พวกเขาไม่ได้เพียงแค่เจาะเลือดเพื่อดูตัวเลขเท่านั้น แต่ได้ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงอย่างเครื่องสแกน MRI เพื่อเข้าไปมองเห็นและวัดปริมาตรของกล้ามเนื้อบริเวณขาของผู้ป่วยแต่ละคนอย่างละเอียด ทั้งก่อนเริ่มการรักษา และหลังจากนั้นที่ 1 และ 6 เดือน
ผลลัพธ์ที่ปรากฏออกมานั้นน่าทึ่งและช่วยไขปริศนาที่ค้างคาใจมานาน หลังจากได้รับยาไป 6 เดือน ค่าครีเอตินินในเลือดของผู้ป่วยสูงขึ้นจริงตามที่คาดการณ์ไว้ แต่ในขณะเดียวกัน ภาพจากเครื่อง MRI ก็ได้เปิดเผยความจริงอีกด้านหนึ่งว่า ปริมาตรของกล้ามเนื้อขาของผู้ป่วยก็ "เพิ่มขึ้น" อย่างมีนัยสำคัญถึง 4% โดยเฉลี่ย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกล้ามเนื้อบริเวณต้นขาที่มีขนาดใหญ่ขึ้นถึง 5%
นี่คือหลักฐานชิ้นสำคัญที่เชื่อมโยงจุดสองจุดเข้าด้วยกันอย่างงดงาม มันแสดงให้เห็นว่าค่าครีเอตินินที่สูงขึ้นนั้นเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการมีมวลกล้ามเนื้อที่เพิ่มขึ้น และเพื่อเป็นการตอกย้ำว่าไตไม่ได้มีปัญหาจริงๆ นักวิจัยยังได้ตรวจวัดค่า "ซิสตาติน ซี" ซึ่งเป็นตัวชี้วัดการทำงานของไตอีกชนิดหนึ่งที่ไม่ได้รับผลกระทบจากมวลกล้ามเนื้อ และก็พบว่าค่านี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย
แล้วยาที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรักษาข้ออักเสบ จะมาช่วยสร้างกล้ามเนื้อได้อย่างไร?
เราต้องเข้าใจก่อนว่าโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ไม่ใช่โรคที่จำกัดอยู่แค่ในข้อ แต่มันคือสภาวะที่ร่างกายมีการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งการอักเสบนี้เองที่เป็นตัวการร้ายที่คอยทำลายและสลายมวลกล้ามเนื้อของเราไปอย่างช้าๆ
ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะเผชิญกับภาวะกล้ามเนื้อฝ่อลีบ ยาโทฟาซิทินิบซึ่งเป็นยากลุ่ม "JAK inhibitor" มีความสามารถอันโดดเด่นในการเข้าไปดับไฟแห่งการอักเสบนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อกระบวนการทำลายกล้ามเนื้อถูกหยุดยั้งลง ร่างกายจึงมีโอกาสได้ซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อขึ้นมาใหม่ นอกจากนี้ ยังอาจมีความเป็นไปได้ว่าตัวยาอาจจะมีฤทธิ์กระตุ้นเซลล์กล้ามเนื้อโดยตรง ซึ่งเป็นสมมติฐานที่น่าสนใจสำหรับการวิจัยในอนาคต
แม้ว่าผลการศึกษาครั้งนี้จะดูน่าตื่นเต้นและมอบความหวังครั้งใหม่ให้กับผู้ป่วย แต่มันก็ยังมีข้อจำกัดอยู่บ้างเนื่องจากเป็นการศึกษาในกลุ่มตัวอย่างขนาดเล็กและไม่มีกลุ่มควบคุม
อย่างไรก็ตาม มันก็ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างสมบูรณ์ในการเป็นผู้บุกเบิกที่เปิดประตูสู่ความเข้าใจใหม่ๆ และจุดประกายให้เกิดการตั้งคำถามกับสิ่งที่เราเคยเชื่อ
มันสอนให้เรารู้ว่าเบื้องหลังตัวเลขในผลเลือดธรรมดาๆ อาจมีเรื่องราวทางชีววิทยาที่ซับซ้อนซ่อนอยู่ และมันก็ได้มอบมุมมองใหม่ให้กับผู้ป่วยรูมาตอยด์ว่า ยาที่พวกเขากำลังรับประทานอยู่นั้น อาจไม่ได้เป็นเพียงยาที่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดจากข้ออักเสบ แต่ยังอาจจะเป็นเพื่อนคู่ใจที่คอยช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงของร่างกายและชะลอความเสื่อมที่มาพร้อมกับวัยไปพร้อมๆ กันอีกด้วยนั่นเอง
แหล่งอ้างอิง:
Bennett, J. L., Hollingsworth, K. G., Pratt, A. G., et al. (2025). Skeletal muscle effects of Janus kinase inhibition in rheumatoid arthritis (RAMUS): a single-arm, experimental medicine study. The Lancet Rheumatology. Published online October 15, 2025. https://doi.org/10.1016/S2665-9913(25)00184-5
โฆษณา