19 ต.ค. เวลา 05:23 • ธุรกิจ

🧬 “A-Player DNA”?

ทำไมบางคน ‘สร้างผลงานได้’ ในทุกสนาม และบางคน ‘หมดแรง’ ตั้งแต่เริ่มเกม
เมื่อ Hard Skills ไม่พออีกต่อไป หากองค์กรยังไม่รู้จัก “สแกนคุณสมบัติที่สอนไม่ได้”?
💥" Hard Skills" = แค่ตั๋วเข้าชม ไม่ใช่ใบผ่านประตูสู่ความยิ่งใหญ่
* Hard Skills เป็นสิ่งที่เรียนรู้ได้ ฝึกฝนได้ และวัดผลได้ชัดเจน แต่สิ่งที่ทำให้คนหนึ่งโดดเด่นกว่าอีกคนหนึ่ง คือ “แรงขับภายใน” ที่สอนไม่ได้
* ในโลกของการทำงานที่หมุนเร็วและแข่งขันสูง “ความเก่ง” กลายเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่สิ่งที่แยกคนที่ “เก่งอย่างแท้จริง” ออกจากคนที่ “ทำได้แค่ผ่านไปวันๆ” คือระดับของแรงผลักภายใน ความรับผิดชอบที่มาจากตัวเอง และทัศนคติที่ไม่ยอมให้สิ่งใดหยุดการเติบโตได้
* องค์กรจำนวนมากยังทุ่มทรัพยากรเพื่อพัฒนา ‘ทักษะ’ แต่กลับละเลย ‘ตัวตน’ ของคนที่ขับเคลื่อนจริง (A-Player) ที่ทำให้องค์กรไปไกลกว่าคู่แข่ง
* เพราะสุดท้าย คนที่สร้างผลงานได้จริง ไม่ใช่คนที่ “รู้เยอะกว่า” แต่คือคนที่ “ลุกขึ้นเร็วกว่า” เวลาล้ม และยังมีไฟต่อให้ไม่มีใครบอกให้ทำ "พลังนี้คือสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้ แต่สร้างได้จากวัฒนธรรมที่ถูกต้องและผู้นำที่เข้าใจคน"
🏆 DNA ของ “A-Player” ที่สอนไม่ได้ แต่ต้องมี
1️⃣ Work Ethic — "วินัยในตนเอง" เมื่อ “ความรับผิดชอบ” ชนะ “Work-Life Balance”
* ในยุคที่องค์กรพูดถึง Well-being และ Balance กันมาก จนอาจทำให้ “ความสบาย” กลายเป็นข้ออ้างในการไม่ข้ามเส้นศักยภาพของตัวเอง
* A-Player ไม่ได้หมายถึงคนที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ แต่คือคนที่ “ไม่ยอมปล่อยให้งานที่รับผิดชอบยังไม่เสร็จ” โดยอ้างว่า “หมดเวลาแล้ว”
* ความสมดุลสำหรับคนเหล่านี้ไม่ได้อยู่ที่ชั่วโมงทำงาน แต่อยู่ที่ “ความภูมิใจในสิ่งที่ทำจนจบ” และไม่ต้องมีใครคอยผลักดัน เพราะพวกเขาผลักตัวเองได้เสมอ
* Work Ethic คือคุณสมบัติที่สังคมสมัยใหม่อาจลืมพูดถึง แต่ในความจริง มันคือฐานรากของความไว้วางใจในทีมและองค์กร
* เมื่อคนหนึ่งทำในสิ่งที่พูดได้เสมอ ความน่าเชื่อถือจึงเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ และสิ่งนี้เองที่ทำให้ A-Player กลายเป็นคนที่ทีมอยากร่วมงานด้วยเสมอ
2️⃣ Passion — เชื้อเพลิงที่องค์กร ‘สร้างให้ไม่ได้’
* Passion ไม่ใช่คำขวัญบนโปสเตอร์หรือค่านิยมที่องค์กรกำหนดให้ แต่คือ “แรงผลักจากข้างใน” ที่เกิดจากการเชื่อในสิ่งที่ทำ และเชื่อว่ามันมีความหมายต่อโลกภายนอกจริงๆ
* คนที่มี Passion จริง จะไม่ต้องรอให้ใครบอกให้เริ่มทำ พวกเขาจะขยับเอง เพราะรู้ว่าการลงมือทำในวันนี้คือการเปลี่ยนแปลงที่เริ่มจากจุดเล็กๆ ของตัวเอง
* องค์กรที่เข้าใจเรื่องนี้ จะไม่พยายาม “ปลุก Passion” ให้พนักงาน แต่จะ “สร้างสภาพแวดล้อมที่คนอยากจุดไฟของตัวเอง”  เช่น ให้โอกาสทดลอง ให้พื้นที่ผิดพลาด และให้ความหมายกับงานมากกว่า KPI
* เพราะ Passion ที่แท้จริง ไม่ใช่ความตื่นเต้นชั่วคราว แต่คือแรงมุ่งมั่นที่ยืดยาวจนข้ามผ่านความเหนื่อย ความสงสัย และเสียงวิจารณ์ได้
* องค์กรชั้นนำในโลกวันนี้รู้ดีว่าการรักษาคนเก่งไม่ได้อยู่ที่โบนัสหรือชื่อเสียง แต่อยู่ที่การทำให้คนรู้สึกว่า “งานของฉันมีคุณค่าจริง” และ Passion คือเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนสิ่งนี้ให้ยั่งยืน
3️⃣ Resilience — ล้มได้ ลุกเร็ว และไม่กลัวเริ่มใหม่
* Resilience คือภูมิคุ้มกันของคนทำงานในยุคใหม่ ที่ไม่ได้หมายถึง “อดทน” อย่างเดียว แต่หมายถึง “การลุกขึ้นได้ไวโดยไม่เสียศรัทธาในตัวเอง”
* องค์กรส่วนใหญ่ยังเต็มไปด้วยคนที่ “กลัวล้ม” มากกว่าคนที่ “อยากชนะ” เพราะเราถูกสอนให้หลีกเลี่ยงความผิดพลาด มากกว่าการเรียนรู้จากมัน
* แต่ A-Player จะมองความล้มเหลวเป็น “ข้อมูล” ไม่ใช่ “คำตัดสิน” ทุกครั้งที่ผิดพลาด พวกเขาจะถามว่า “จะทำให้ดีขึ้นได้ยังไง?” แทนที่จะถามว่า “ทำไมมันถึงเกิดขึ้นกับฉัน?”
* นี่คือหัวใจของ Growth Mindset ที่แท้จริง ไม่ใช่แค่การยืดหยุ่น แต่คือการปรับตัวอย่างมีเป้าหมาย และไม่ปล่อยให้ความผิดพลาดจบลงโดยไร้บทเรียน
* องค์กรที่ส่งเสริม Resilience จะไม่ลงโทษความล้มเหลว แต่จะให้คุณค่ากับ “ความพยายามที่กล้าทดลอง” เพราะรู้ว่าทุกการล้มคือโอกาสในการเร่งการเรียนรู้
* ในยุคที่โลกเปลี่ยนเร็วกว่าเดิม คนที่ Resilient จึงกลายเป็น “สินทรัพย์เชิงกลยุทธ์” ที่องค์กรไม่อาจขาดได้เลย
4️⃣ Professionalism — มององค์กรเป็น ‘ทีมกีฬา’ ไม่ใช่ ‘ครอบครัว’
* แนวคิด “องค์กรคือครอบครัว” ฟังดูอบอุ่น แต่ก็เป็นกับดักที่ทำให้หลายองค์กรตัดสินใจจากความสัมพันธ์ มากกว่าความสามารถ
* A-Player มององค์กรเหมือน “ทีมกีฬาอาชีพ” ที่ทุกคนต้องเล่นเต็มที่ในบทบาทของตัวเอง เพื่อให้ทีมชนะ ไม่ใช่เพื่อให้ใครรู้สึกดี
* ทีมที่จ้างคนที่เก่งที่สุด ไม่ใช่คนที่สนิทที่สุด
* ทีมที่กล้าให้ feedback เพราะเห็นแก่ผลลัพธ์รวม มากกว่าเกรงใจ
* ทีมที่ระบบชัด โปร่งใส และให้รางวัลกับผลงานจริง ไม่ใช่ความสัมพันธ์
* องค์กรที่มีวัฒนธรรมแบบนี้จะสร้างความไว้วางใจในระยะยาว เพราะคนเก่งจะรู้ว่า “พลังของพวกเขาจะถูกเห็น” และ “ความยุติธรรมจะเป็นแรงผลักแทนความเกรงใจ”
* Professionalism ไม่ได้หมายถึงความเย็นชา แต่คือการรู้ขอบเขตของบทบาท เข้าใจว่าความสัมพันธ์ที่ดีที่สุดในที่ทำงานคือความสัมพันธ์ที่ขับเคลื่อนผลงาน ไม่ใช่ความผูกพันที่ทำให้ทีมไม่กล้าเปลี่ยนแปลง
5️⃣ Be Authentic — ตัวตนแท้จริงคือพลังที่ไม่มีใครลอกได้
* A-Player ตัวจริงจะไม่พยายาม “เหมือนใคร” แต่จะ “เป็นตัวเองให้ชัด” เพราะพวกเขารู้ว่าความน่าเชื่อถือไม่ได้มาจากการทำตามสูตรสำเร็จ แต่มาจาก “ความจริงใจและความต่อเนื่องในสิ่งที่เป็น”
* ในโลกที่เต็มไปด้วยคนพยายามสร้างภาพ คนที่กล้าแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติจะโดดเด่นที่สุด เพราะ Authenticity คือพลังที่ดึงดูดความไว้วางใจ และสร้างแรงบันดาลใจให้คนรอบข้างได้โดยไม่ต้องพูดเยอะ
* A-Player ไม่กลัวจะยอมรับจุดอ่อนของตัวเอง เพราะพวกเขารู้ว่าความจริงใจคือสะพานสู่การเรียนรู้ ไม่ใช่สัญญาณของความอ่อนแอ
* ในทีมที่มีคนจริง คนอื่นจะกล้าจริงตาม  เพราะ Authenticity นั้น “แพร่เชื้อ” ได้ และมักเป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมที่แข็งแรงและโปร่งใสอย่างแท้จริง
* ผู้นำที่แท้จริงจึงต้องกล้าสร้างพื้นที่ที่คนเป็นตัวเองได้ ไม่ต้องแสร้งเป็นใคร ไม่ต้องเล่นบท “เพอร์เฟกต์” ตลอดเวลา เพราะความจริงใจคือเครื่องมือทรงพลังที่สุดในการสร้างความผูกพันในทีม
✨ ดังนั้น หน้าที่ของผู้นำ ไม่ใช่หาคนเก่งที่สุด...แต่คือสร้างสนามให้คนเก่งที่สุดอยากอยู่
"องค์กรที่มีแต่คนเก่งแต่ไม่มีระบบที่ดี = สนามที่ไม่มีเส้นแบ่ง ไม่มีกรรมการ และไม่มีเป้าหมาย"
* ผู้นำที่เข้าใจ “A-Player DNA” จะรู้ว่า หน้าที่ไม่ใช่สอนทุกคนให้เก่งเท่ากัน แต่คือการออกแบบสนามที่ทำให้คนที่เก่งที่สุด “อยากเล่นต่อ” ทุกวัน
* สิ่งนี้ไม่ใช่แค่กลยุทธ์การบริหารคน แต่มันคือ “แนวคิดการสร้างองค์กรแห่งความเป็นเลิศ” หรือ ที่ความไว้วางใจ ความรับผิดชอบ และความมุ่งมั่นของคนในทีม จะหลอมรวมกันจนกลายเป็นวัฒนธรรมที่ทรงพลังที่สุด
* เพราะคนที่ใช่…จะไม่มองหางานที่ง่ายที่สุด แต่จะมองหาสนามที่ “มีคุณค่าพอจะสู้” และผู้นำที่ดีคือคนที่กล้าทำให้สนามนั้น “ท้าทายพอ” ที่จะดึงศักยภาพของทุกคนออกมา
“A-Player ไม่ต้องการองค์กรที่ดีที่สุด…แต่ต้องการองค์กรที่ทำให้พวกเขา ‘ดีขึ้น’ ทุกวัน”
#วันละเรื่องสองเรื่อง
#Leadership
#APlayer
#HighPerformanceCulture
#TalentWithPurpose
#CorporateDNA
#AuthenticLeadership
โฆษณา