22 ต.ค. เวลา 12:00 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

📜 ม้วนคัมภีร์ที่ถูกเผาเป็นถ่านเมื่อ 2,000 ปีก่อน AI กำลังทำให้สมบัติที่หายไป...ฟื้นคืนชีพ

ลึกเข้าไปในเครื่องเร่งอนุภาค นักฟิสิกส์เชิงทฤษฎี จอร์โจ แอนเจลอตติ (Giorgio Angelotti) กำลังปฏิบัติงานด้วยความพิถีพิถัน เขาวางกระบอกสูบสีดำลงบนแท่นยึด ขันน็อตให้แน่น ตรวจสอบมาตรการความปลอดภัยอย่างรอบคอบ ก่อนจะถอยออกจากห้องปฏิบัติการที่เรียกว่า “แฮทช์” (the hatch)
เขาอธิบายกับทีมงานว่า ต้องมั่นใจเสมอว่าไม่มีใครอยู่ในห้องก่อนปิดประตู เพราะทันทีที่การทดลองเริ่มขึ้น ลำแสงเอกซเรย์พลังมหาศาลจะถูกยิงใส่วัตถุภายในกระบอกสูบ เป้าหมายครั้งนี้ไม่ใช่วัสดุใหม่ล้ำสมัยหรือคริสตัลที่เปราะบาง หากแต่เป็นสิ่งที่ดูเหมือนก้อนถ่านบิดเบี้ยวไร้ค่า
แท้จริงแล้ว วัตถุชิ้นนั้นคือโบราณวัตถุอันประเมินค่าไม่ได้—ม้วนคัมภีร์พาไพรัสอายุราว 2,000 ปี ที่ถูกเผาเสียหายจากการปะทุของภูเขาไฟวิสุเวียส (Vesuvius) ในปี ค.ศ. 79 มันเป็นหนึ่งใน ม้วนคัมภีร์เฮอร์คิวลานีม (Herculaneum papyri) ซึ่งมีอยู่หลายร้อยม้วน และเปราะบางเกินกว่าจะคลี่ออกด้วยมือ ทำให้เนื้อหาภายในจึงยังคงเป็นปริศนามาเนิ่นนาน
ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสมัยใหม่—ตั้งแต่เครื่องเร่งอนุภาค ปัญญาประดิษฐ์ ไปจนถึงทีมโปรแกรมเมอร์ฝีมือเยี่ยมที่ร่วมมือกันทางออนไลน์—แอนเจลอตติและคณะกำลังพยายามทำให้ก้อนถ่านเหล่านี้ “เปล่งเสียง” ได้อีกครั้ง ความพยายามนี้อาจนำไปสู่การเปิดเผยผลงานปรัชญากรีกที่สาบสูญทั้งเล่ม หรือแม้แต่ข้อเขียนจากคริสเตียนยุคแรกสุดที่ไม่เคยมีใครได้อ่านมาก่อน
🏛️ ห้องสมุดที่ถูกฝังทั้งเป็น
ม้วนคัมภีร์โบราณเหล่านี้ถูกค้นพบใกล้เมืองเนเปิลส์ ประเทศอิตาลี บ้านเกิดของจอร์โจ แอนเจลอตติ การค้นพบเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1750 โดยพบว่าม้วนคัมภีร์เหล่านี้มาจากห้องสมุดของวิลล่าหรูหราในศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาล ณ เมืองเฮอร์คิวลานีม เมืองตากอากาศริมทะเลของชนชั้นสูงชาวโรมัน และเป็นเมืองเพื่อนบ้านที่เล็กกว่าของปอมเปอี
วิลล่าดังกล่าวเชื่อกันว่าเคยเป็นของลูเซียส คัลเปอร์นิอุส ปิโซ เซโซนินุส (Lucius Calpurnius Piso Caesoninus) วุฒิสมาชิกโรมันผู้ทรงอำนาจ และยังเป็นพ่อตาของจูเลียส ซีซาร์อีกด้วย ม้วนคัมภีร์ที่ค้นพบในตอนแรกมีจำนวนไม่น้อยกว่า 900 ม้วน โดยหลายชิ้นเป็นผลงานของฟิโลเดมุสแห่งกาดารา (Philodemus of Gadara) นักปรัชญาผู้มีบทบาทสำคัญในการนำปรัชญาเอพิคิวเรียน (Epicurean philosophy) จากกรีซเข้าสู่อิตาลี
ฟิโลเดมุสได้เข้าร่วมกับคณะผู้ติดตามของปิโซ และได้รับการอุปถัมภ์จากเขา ทำให้งานเขียนเชิงปรัชญาจำนวนมาก รวมถึงต้นฉบับร่างที่ไม่เหมือนใคร ถูกเก็บรักษาไว้ในคอลเลกชันส่วนตัวของปิโซ
แม้ปิโซและฟิโลเดมุสจะเสียชีวิตไปหลายสิบปีก่อนการปะทุของภูเขาไฟวิสุเวียสในปี ค.ศ. 79 แต่ห้องสมุดยังคงอยู่ เมื่อโคลนร้อนและเถ้าถ่านจากการปะทุถาโถมเข้าสู่เฮอร์คิวลานีม ความร้อนทำให้ม้วนคัมภีร์สูญเสียน้ำและกลายสภาพเป็นถ่าน โดยไม่ได้ถูกเผาไหม้จนหมดสิ้น เฟเดริก้า นิโคลาร์ดี (Federica Nicolardi) นักปาปิโรโลจีจากมหาวิทยาลัยเนเปิลส์ เฟเดริโกที่ 2 อธิบายว่า “การที่มันกลายเป็นคาร์บอนคือเหตุผลเดียวที่เรายังมีพวกมันอยู่จนถึงทุกวันนี้”
💔 ประวัติศาสตร์แห่งการทำลายล้าง (โดยมนุษย์)
คอลเลกชันของปิโซค่อย ๆ ร่อยหรอลงตามกาลเวลา เนื่องจากชั้นพาไพรัสที่ถูกอัดแน่นติดกัน และความพยายามในยุคแรกที่จะคลี่ออก กลับทำให้ม้วนคัมภีร์จำนวนมากถูกบด หั่น ลอก หรือแปรรูปในลักษณะที่นักปาปิโรโลจีภายหลังเปรียบเปรยว่าเหมาะจะใช้กับมันฝรั่งมากกว่าเอกสารโบราณ
ตั้งแต่ทศวรรษ 1750 เป็นต้นมา คามิลโล พาแดร์นี (Camillo Paderni) ภัณฑารักษ์คนแรกของม้วนคัมภีร์ ได้ใช้วิธีการที่รุนแรง เขามักจะตัดม้วนคัมภีร์ออกเป็นสองส่วน แล้วใช้ด้ามมีดทุบตรงกลางจนกลายเป็นผงธุลี เดวิด แบลงก์ (David Blank) นักวิชาการด้านคลาสสิกจาก UCLA อธิบายถึงวิธีการดังกล่าวว่าเป็นการทำลายมากกว่าการอนุรักษ์
ต่อมา อันโตนิโอ ปิอัจโจ (Antonio Piaggio) ช่างบูรณะต้นฉบับจากหอสมุดวาติกัน ได้พยายามใช้เทคนิคที่ประณีตกว่า เขาสร้างเครื่องจักรขึ้นมา โดยติดปลายม้วนพาไพรัสเข้ากับแผ่นเครื่องในสัตว์ด้วยกาวที่ทำจากปลา แล้วค่อย ๆ คลี่ออกอย่างระมัดระวัง สิ่งประดิษฐ์ของเขาสามารถเปิดอ่านมันได้ประมาณ 18 ม้วน
แม้การปฏิบัติที่โหดร้ายในยุคแรกจะทำลายม้วนคัมภีร์ไปมาก แต่ก็ยังทำให้ได้ข้อความที่พออ่านได้หลายเล่ม และจากสิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้ทราบว่าบางส่วนเป็นผลงานของฟิโลเดมุส อย่างไรก็ตาม ม้วนคัมภีร์ส่วนใหญ่ยังคงนอนสงบนิ่งในสภาพก้อนถ่านที่ไร้ค่าในหอสมุดแห่งชาติเนเปิลส์ โดยไม่มีใครอ่านหรือแตะต้องเป็นเวลาหลายศตวรรษ
🔬 ความท้าทาย: คาร์บอนบนคาร์บอน
จนกระทั่ง เบรนท์ ซีลส์ (Brent Seales) จากมหาวิทยาลัยเคนทักกีเข้ามามีบทบาท เขาหลงใหลในแนวคิดที่ว่าเทคโนโลยีอาจช่วยดึงข้อมูลใหม่ ๆ ออกมาจากวัตถุที่เสียหายได้
ในปี ค.ศ. 2000 ซีลส์ได้ทดลองใช้การสแกนสามมิติร่วมกับซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์เพื่อ “คลี่” หน้าเอกสารยุคกลางที่ถูกไฟไหม้ในคอลเลกชัน Cotton ของหอสมุดบริติชไลบรารี แม้หนังสือบางเล่มจะเปราะบางเกินกว่าจะเปิดอ่านได้ แต่เขาเริ่มตั้งคำถามว่า วิธีการที่ใช้มองทะลุร่างกายด้วยรังสีเอกซเรย์นั้น จะสามารถนำมาใช้เพื่อมองทะลุหนังสือได้หรือไม่
เมื่อเขายิงรังสีเอกซเรย์ใส่หนังสือจากคอลเลกชัน Cotton เป็นครั้งแรก หมึกก็ปรากฏขึ้นราวกับกระดูกในภาพถ่ายขาวดำ ความสำเร็จนี้ทำให้เขาต้องการขยายการทดลองไปยังคอลเลกชันอื่น ๆ โดยเฉพาะม้วนคัมภีร์เดดซี (Dead Sea Scrolls) ที่มีชื่อเสียง ทว่าผู้ดูแลกลับปฏิเสธข้อเสนอของเขาอย่างสิ้นเชิง ในขณะเดียวกัน ม้วนคัมภีร์เฮอร์คิวลานีมก็เริ่มเข้ามาอยู่ในความสนใจของเขา
อย่างไรก็ตาม พาไพรัสเหล่านี้มีความท้าทายเฉพาะตัว ฟิโลเดมุสและผู้ร่วมสมัยไม่ได้ใช้หมึกโลหะที่สามารถมองเห็นได้ง่ายด้วยเอกซเรย์ แต่เลือกใช้หมึกที่ทำจากเขม่า (soot-based ink) งส่วนใหญ่คือ คาร์บอน ปัญหาจึงอยู่ที่การแยกแยะหมึกคาร์บอนออกจากพื้นผิวพาไพรัสที่ถูกเปลี่ยนสภาพเป็นคาร์บอนเช่นเดียวกัน ราวกับการพยายามค้นหา “คาร์บอนบนคาร์บอน”
คแน่นอนว่าวามพยายามครั้งแรกของซีลส์ในปี 2009 ด้วยเครื่องสแกน CT ขนาดเล็กจบลงด้วยความล้มเหลว เขาไม่สามารถมองเห็นร่องรอยของหมึกได้เลย
🚀 AI, เครื่องเร่งอนุภาค และความท้าทายระดับโลก
ในปี 2019 เบรนท์ ซีลส์และทีมงานของเขาสามารถพิสูจน์ได้ว่า แม้ตามนุษย์จะไม่สามารถมองเห็น แต่แท้จริงแล้วเครื่องสแกนสามารถจับภาพหมึกบนม้วนคัมภีร์ได้ ด้วยการใช้ปัญญาประดิษฐ์ที่ถูกกำหนดค่าอย่างเหมาะสมเพื่อประมวลผลข้อมูลเหล่านั้น
ความสำเร็จดังกล่าวเพียงพอที่จะทำให้พวกเขาได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องเร่งอนุภาค Diamond Light Source ใกล้เมืองออกซ์ฟอร์ด สหราชอาณาจักร เครื่องมือดังกล่าวทำหน้าที่เป็นเครื่องสแกน CT ที่ทรงพลังอย่างยิ่ง และสามารถสร้างภาพภายในของม้วนคัมภีร์ที่ยังคงม้วนแน่นอยู่ได้ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงมีอยู่ สตีเฟน พาร์สันส์ ศิษย์ของซีลส์ ได้ฝึก AI ให้ตรวจจับหมึก แต่ผลลัพธ์ที่ได้ยังคงเป็นเพียงร่องรอยจาง ๆ เท่านั้น
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อซีลส์ติดต่อกับแนท ฟรีดแมน (Nat Friedman) อดีตซีอีโอของ GitHub เพื่อขอทุนสนับสนุนเพิ่มเติม ทว่าฟรีดแมนกลับเสนอแนวคิดใหม่ที่แตกต่างออกไป นั่นคือการจัดการแข่งขันแบบเปิด เพื่อท้าทายให้ผู้คนจากทั่วโลกพัฒนาโปรแกรมที่สามารถอ่านม้วนคัมภีร์ได้
แม้ซีลส์จะลังเลในตอนแรก เพราะสำหรับนักวิชาการแล้ว การเปิดเผยข้อมูลการสแกนและอัลกอริทึมต่อสาธารณะถือเป็นเรื่องไม่คุ้นเคย แต่ท้ายที่สุดเขาก็ตระหนักว่า เหตุผลเดียวที่ทำให้ลังเลคือความกังวลว่าจะไม่ได้รับเครดิตทั้งหมด และนั่นไม่ใช่เหตุผลที่ดีพอ
ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2023 การแข่งขันที่มีชื่อว่า “Vesuvius Challenge” จึงถือกำเนิดขึ้น และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความพยายามระดับนานาชาติในการปลุกเสียงจากม้วนคัมภีร์ที่เงียบงันมากว่าสองพันปี
🔥 เมื่อคนทั้งโลกหันมาอ่าน "ก้อนถ่าน"
จอร์โจ แอนเจลอตติ คือหนึ่งในผู้ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญ เขาเพิ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านปัญญาประดิษฐ์ และแม้จะเติบโตมาในเมืองเนเปิลส์ บ้านใกล้เรือนเคียงกับสถานที่ค้นพบม้วนคัมภีร์เฮอร์คิวลานีม แต่เขาแทบไม่เคยได้ยินเรื่องราวของมันมาก่อน อย่างไรก็ตาม เมื่อเริ่มศึกษา เขากลับยิ่งหลงใหลในความลี้ลับของคัมภีร์เหล่านี้
ระหว่างทำงานที่ปรึกษาและก่อตั้งสตาร์ทอัพด้าน AI เขาทุ่มเทเวลาให้กับการวิเคราะห์ภาพดิจิทัลของพาไพรัส จนสามารถคว้ารางวัลเงินสดและได้รับข้อเสนอให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ปัจจุบันเขาเป็นหัวหน้าโครงการวิจัยของ Vesuvius Challenge และประกาศว่าการถอดรหัสม้วนคัมภีร์ได้กลายเป็น “ภารกิจในการฟื้นฟูมรดกทางวัฒนธรรมของบ้านเกิด” ของเขาเอง
ในเวลาเดียวกัน กลุ่มนักศึกษาก็เริ่มสร้างชื่อเสียงขึ้นมาเช่นกัน เดือนธันวาคม ค.ศ. 2023 อัลกอริทึมตรวจจับหมึกที่พัฒนาโดยยูสเซฟ นาเดอร์ (Youssef Nader) และลุค ฟาร์ริเตอร์ (Luke Farritor) สามารถเปิดเผยตัวอักษรกรีกได้ราว 2,000 ตัว นาเดอร์ฝึก AI อย่างพิถีพิถันบนเศษม้วนคัมภีร์ที่แตกหัก ขณะที่ฟาร์ริเตอร์ประสบความสำเร็จในการดึงคำแรกจากม้วนคัมภีร์ที่ยังไม่ถูกคลี่ออก คำนั้นคือ “porphyras” หรือ “สีม่วง” โดยใช้โมเดล AI ที่ฝึกบนรอยแตกจาง ๆ ซึ่งสัมพันธ์กับตำแหน่งที่มีหมึก
เมื่อโค้ดของพวกเขาถูกรวมเข้าด้วยกัน และทำงานร่วมกับจูเลียน ชิลลิเกอร์ (Julian Schilliger) นักศึกษาจาก ETH Zürich ผู้เชี่ยวชาญในการ “เย็บ” แผ่นพาไพรัสดิจิทัลจากพิกเซล ทีมนี้ก็สามารถคว้ารางวัลใหญ่ 700,000 ดอลลาร์ในปีเดียวกัน
ข้อความที่ถูกถอดรหัสเผยให้เห็นการครุ่นคิดของคนโบราณเกี่ยวกับอาหาร ดนตรี และความสุข โดยผู้เขียนดูเหมือนจะกำลังไตร่ตรองถึงคำถามอมตะที่ยังคงก้องกังวานมาถึงปัจจุบัน—"อะไรคือสิ่งที่ทำให้ชีวิตควรค่าแก่การมีชีวิตอยู่"
📜 อนาคตที่กำลังถูก "คลี่" ออก
ความท้าทายยังคงดำเนินต่อไป การตรวจจับหมึกจากม้วนคัมภีร์ยังไม่สมบูรณ์แบบ เนื่องจากหมึกที่ใช้แตกต่างกันไปในแต่ละม้วน เป้าหมายระยะยาวของทีมวิจัยคือการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่รวดเร็วและใช้ได้กับทุกกรณี เพื่อให้สามารถอัปโหลดการสแกนของม้วนคัมภีร์และดาวน์โหลดข้อความออกมาได้โดยตรง
ในด้านการคลี่ม้วนคัมภีร์แบบดิจิทัล แม้ปัญญาประดิษฐ์จะเข้ามาช่วยลดภาระงานที่มนุษย์เคยต้องทำอย่างหนัก แต่กระบวนการนี้ก็ยังไม่สมบูรณ์แบบเช่นกัน กลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จอร์โจ แอนเจลอตติได้สแกนม้วนคัมภีร์เฮอร์คิวลานีมเพิ่มอีกกว่า 30 ม้วน ที่ Diamond Light Source และ European Synchrotron Radiation Facility (ESRF) ในฝรั่งเศส ผลการทดลองเบื้องต้นบ่งชี้ว่าการสแกนที่มีความละเอียดสูงขึ้นอาจช่วยให้ AI มองเห็นลักษณะร่วมของหมึกในทุกม้วนได้ชัดเจนขึ้น แต่ข้อเสียคือกระบวนการดังกล่าวใช้เวลานานขึ้นถึงหกเท่า
ความสำเร็จใหม่ๆ ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2025 มาร์เซล รอธ (Marcel Roth) และมิชา โนวัก (Micha Nowak) บัณฑิตสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์จากเยอรมนี ได้ดัดแปลงซอฟต์แวร์การถ่ายภาพทางการแพทย์เพื่ออ่าน “ชื่อเรื่อง” แรกจากภายในม้วนคัมภีร์ได้สำเร็จ ข้อความที่ปรากฏคือ “ฟิโลเดมุส, ว่าด้วยความชั่วร้าย (Philodemus, On Vices)”
แอนเจลอตติกล่าวด้วยความยินดีว่า “เราทุกคนมีความสุขมากที่เห็นว่ามันคือฟิโลเดมุสจริง ๆ” เพราะการค้นพบนี้ยืนยันได้ว่า AI ไม่ได้สร้างภาพลวงตาหรือ “หลอน” ขึ้นมาเอง แต่กำลังถอดรหัสข้อความโบราณจริงๆ
🌍 มรดกที่รอการขุดค้น
ที่อ่าวเนเปิลส์ ยังมีความเป็นไปได้ว่าม้วนคัมภีร์อีกจำนวนมากกำลังรอการค้นพบ ส่วนหนึ่งของวิลล่าหรูหราจากยุคโรมันยังคงไม่ถูกสำรวจ และถูกฝังลึกอยู่ใต้เถ้าภูเขาไฟหนากว่า 20 เมตร ซ่อนเร้นอยู่ท่ามกลางความซับซ้อนของการเมืองท้องถิ่น
มีบันทึกในพันธสัญญาใหม่ที่กล่าวถึงการปรากฏตัวของอัครทูตเปาโล (Paul the Apostle) ราวปี ค.ศ. 50 ก่อนที่เขาจะถูกประหารชีวิตในอีกกว่าทศวรรษต่อมา ทำให้เกิดคำถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่การเดินทางของเขาอาจถูกบันทึกไว้ในเอกสารเหล่านี้ก่อนการปะทุของวิสุเวียส เบรนท์ ซีลส์ กล่าวติดตลกว่า “บางที... ถ้าห้องสมุดเฮอร์คิวลานีมมีแผนกเหตุการณ์ปัจจุบันก็คงใช่”
ในอดีต การค้นหาสมบัติที่สาบสูญเช่นนี้แทบไม่มีประโยชน์ เพราะไม่อาจปลดล็อกเนื้อหาภายในได้ แต่ในปัจจุบัน เมื่อเทคโนโลยีทำให้การอ่านคัมภีร์ที่ถูกเผาไหม้กลายเป็นไปได้ ความหวังใหม่ก็เกิดขึ้น และเหตุผลที่จะกลับไปขุดค้นอีกครั้งก็มีน้ำหนักมากกว่าที่เคย
🏡 จากเฮอร์คิวลานีมสู่ประวัติศาสตร์ไทย
เรื่องราวนี้มิได้เป็นเพียงบันทึกทางประวัติศาสตร์โรมันเท่านั้น หากแต่เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีสามารถปลดล็อกอดีตที่ถูกผนึกไว้ได้อย่างไร มันยังสะท้อนให้ผู้คนหันกลับมาคิดถึงประวัติศาสตร์ของตนเอง และจินตนาการถึง “กรุ” แห่งความรู้ที่สูญหายไป ไม่ว่าจะเป็นตำรา บันทึก หรือวรรณกรรมที่ถูกทำลายลงในเหตุการณ์อย่างการเสียกรุงศรีอยุธยา หรือที่ผุพังไปตามกาลเวลา
เทคโนโลยี “คาร์บอนบนคาร์บอน” ได้กลายเป็นแสงแห่งความหวังใหม่ จุดประกายความเป็นไปได้ว่าสักวันหนึ่ง มนุษย์อาจสามารถ “อ่าน” ร่องรอยที่ยังคงหลงเหลืออยู่บนใบลานที่ถูกเผา หรือเอกสารโบราณที่เสียหายเกินกว่ามือมนุษย์จะสัมผัสได้อีกครั้ง นี่คือการแข่งขันกับเวลา เพื่อกอบกู้ความทรงจำที่สูญหายของมวลมนุษยชาติให้กลับคืนมา
🎯 สรุปประเด็นสำคัญ
✅ การอยู่รอดโดยบังเอิญ: ภูเขาไฟวิสุเวียส (ค.ศ. 79) ไม่ได้ "เผา" ม้วนคัมภีร์เฮอร์คิวลานีม แต่ "อบ" มันจนกลายเป็นถ่าน (Carbonized) ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่ทำให้มันรอดพ้นจากการเน่าเปื่อยมาได้ 2,000 ปี
✅ ความท้าทาย (คาร์บอนบนคาร์บอน): ปัญหาที่ยากที่สุดคือ หมึกที่ใช้ในยุคโรมันทำจากเขม่า (คาร์บอน) และตัวม้วนคัมภีร์ก็กลายเป็นถ่าน (คาร์บอน) ทำให้การแยกแยะด้วยสายตาหรือเอกซเรย์แบบเดิมเป็นไปไม่ได้
✅ AI + เครื่องเร่งอนุภาค + พลังมวลชน: การใช้เครื่องเร่งอนุภาคยิงเอกซเรย์พลังงานสูง และใช้ AI ตรวจจับร่องรอยหมึกที่ตามนุษย์ไม่เห็น คือกุญแจสำคัญ
✅ Vesuvius Challenge: การแข่งขันแบบเปิดที่ระดมสมองจากทั่วโลก (แทนที่จะเก็บเป็นความลับทางวิชาการ) ได้เร่งความเร็วในการค้นพบอย่างก้าวกระโดด
✅ ผลลัพธ์แรก: ข้อความแรกที่อ่านได้คือปรัชญาของ "ฟิโลเดมุส" ที่พูดถึงความสุข และชื่อเรื่อง "ว่าด้วยความชั่วร้าย" ซึ่งยืนยันว่า AI ทำงานได้ถูกต้อง และยังมีสมบัติอีกมากที่รอการขุดค้น
💬 ชวนคิดชวนคุย
ถ้าเทคโนโลยี AI และการสแกนขั้นสูงนี้สามารถ "อ่านอดีต" ที่เสียหายจนไม่สามารถอ่านได้ด้วยวิธีปกติ... คุณอยากให้มันช่วยค้นพบ "ความจริงที่หายไป" เรื่องอะไรในประวัติศาสตร์ของเรามากที่สุดครับ?
📚 แหล่งอ้างอิง
1. Angelotti, G. (2025). Resurrect an ancient library from the ashes of a volcano. Vesuvius Challenge Research Project.
2. Blank, D. (2025). Philodemus Project. University of California, Los Angeles.
3. Seales, B. (2025). UK’s Brent Seales, global team secure Europe’s top research grant to digitally decode Herculaneum scrolls. University of Kentucky.
🙏 ถึงผู้อ่านทุกท่าน
ผมตั้งใจทำเนื้อหาเชิงสารคดีในเพจนี้ขึ้นมา เพื่อสร้างพื้นที่แห่งความรู้ที่เข้มข้นและเข้าถึงง่ายสำหรับทุกคน เนื้อหาทุกชิ้นเกิดขึ้นจากการค้นคว้าและเรียบเรียงอย่างสุดความสามารถโดยไม่มีองค์กรใดสนับสนุน
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่เดือนเมษายน ผมมีความสุขที่ได้แบ่งปันเรื่องราวต่างๆ และใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัวในการดำเนินงานมาโดยตลอดด้วยความเต็มใจ แต่เมื่อเพจยังไม่มีรายได้เข้ามาเลย การที่จะสร้างสรรค์ผลงานดีๆ ต่อไปในระยะยาวก็เป็นเรื่องที่ท้าทายมากขึ้นทุกที
หากคุณชื่นชอบและเห็นคุณค่าของงานที่ผมทำ การสนับสนุนเล็กๆ น้อยๆ จากคุณจะเป็นพลังสำคัญอย่างยิ่ง เปรียบเสมือน 'ค่ากาแฟ' ที่ช่วยต่อลมหายใจ และทำให้ผมสามารถเดินหน้าสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไปได้ เพื่อให้พื้นที่แห่งการเรียนรู้ของเรายังคงอยู่
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความเมตตาจากทุกท่าน เพื่อให้เพจนี้ได้เดินต่อไปครับ
Link สนับสนุนค่ากาแฟ [https://ezdn.app/witlyofficial]

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา