22 ต.ค. เวลา 00:00 • ท่องเที่ยว

จุดที่ต้องเปลี่ยนของ ‘การท่องเที่ยวไทย’ | The Turning Point of Thai Tourism

‘การท่องเที่ยว’ ถือเป็นอุตสาหกรรมชูโรงที่สร้างรายได้มหาศาลแก่ประเทศไทยมาหลายสิบปี แต่ในปี 2568 สถานการณ์การท่องเที่ยวไทยดูจะไม่สู้ดีนักจากสารพัดปัจจัย
Tourism has been one of Thailand’s most lucrative industries for decades. However, 2025 might be a challenging year for Thai tourism.
📌 Read the English text at: www.thaipbs.or.th/now/content/3280
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาระบุว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เข้ามาในไทยช่วงเดือนมกราคม-กันยายน 2568 นั้นอยู่ที่ 24.11 ล้านคน ลดลงจากตัวเลขในช่วงเดียวกันของปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ 26.08 ล้านคน ขณะที่มีนักท่องเที่ยวเดินเข้ามาในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 ในช่วง 5 เดือนแรกของปี โดยเฉพาะเวียดนามและญี่ปุ่นที่มีผู้ไปเยือนเพิ่มขึ้น ทำให้ภาพการท่องเที่ยวไทยดูถดถอยยิ่งขึ้นไปอีก
จากข้อมูลเพียงเท่านี้ก็ทำให้หลายคนรู้สึกวิตกว่า “การท่องเที่ยวไทยกำลังหมดยุค” แต่สถานการณ์ในความเป็นจริงนั้นอยู่ในขั้นเลวร้ายจริง ๆ หรือ ? แล้วต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้การท่องเที่ยวไทยกลับมาโดดเด่นอีกครั้ง ?
การท่องเที่ยวไทยกำลังถึงคราว "อัสดง" หรือไม่ ?
‘ความปลอดภัย’ อาจไม่น่ากังวลเท่า ‘ความจำเจ’ ในภูมิทัศน์การท่องเที่ยวไทย
เหตุผลข้อหนึ่งซึ่งใช้อธิบายจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดน้อยลงก็คือ ภัยขบวนการค้ามนุษย์และเครือข่ายแก๊งคอลเซนเตอร์ทั้งในไทยและประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเมื่อเดือนมกราคม 2568 ที่ผ่านมา ดาราจีนคนหนึ่งถูกล่อลวงให้ไปทำงานภายใต้กลุ่มทุนเทาที่เมียนมาโดยใช้ อ.แม่สอด จ.ตาก เป็นทางผ่าน ข่าวเช่นนี้จึงอาจทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ – โดยเฉพาะชาวจีน – ตั้งคำถามถึงความปลอดภัยในไทยไม่มากก็น้อย
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง ปัญหาสแกมเมอร์อาจไม่ได้กระทบต่อความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยวในไทยมากอย่างที่เราคิด เช่น เมื่อช่วงวันชาติจีน (Golden Week) ระหว่างวันที่ 26 กันยายน-2 ตุลาคม 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ไทยอยู่ที่ประมาณ 22,000 คน/วัน และราคาตั๋วเครื่องบินเส้นทางกรุงเทพฯ-ปักกิ่งพุ่งสูงสุดถึง 400 เปอร์เซ็นต์ และในปัจจุบัน ชาวจีนกลายเป็นนักท่องเที่ยวอิสระ (FIT) เพิ่มมากขึ้น เขาอาจมาเยือนไทยตามอินฟลูเอนเซอร์หรือตัดสินใจแพ็กกระเป๋าปุบปับ ต่างจากเมื่อก่อนที่เดินทางพร้อมบริษัททัวร์
“จริง ๆ [ปัญหา] คอลเซนเตอร์ไม่มีผลอะไรกับการท่องเที่ยว แม้แต่คนต่างประเทศที่เข้ามาไทยก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะเขาก็จะมีวิธีป้องกันบางส่วนของเขาอยู่แล้ว แม้แต่คนจีนที่ได้พบ เขาก็บอกว่าไม่มีผล” ดร.สุเทพ อารมณ์รักษ์ นายกสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) และกรรมการผู้จัดการบริษัทซิลเวอร์ สโตน ทัวร์ แอนด์ แทรเวิล กล่าวกับ Thai PBS
นักท่องเที่ยวบริเวณวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร
อีกข้อโต้แย้งหนึ่งคือ นักท่องเที่ยวระยะไกล (long-haul tourists) จากยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเข้าไทยเพิ่มขึ้น จนช่วยประคองรายได้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเอาไว้ สิ่งนี้จึงสะท้อนได้ว่า ชาวต่างประเทศยังเชื่อมั่นในความปลอดภัยของไทย ไม่ว่าจะมาพำนักสั้น ๆ หรือย้ายมาอยู่ระยะยาว “[ในลอนดอน] คุณไม่สามารถยกมือถือขึ้นมาใช้ในที่สาธารณะได้ด้วยซ้ำ [เนื่องจากปัญหาโจรขโมยมือถือ] แต่ในไทยนี่เป็นตรงกันข้ามเลยครับ” ไมค์ ยู อินฟลูเอนเซอร์ชาวอังกฤษที่อาศัยอยู่ในไทย กล่าวกับ Thai PBS World เมื่อเดือนกันยายน 2568
ทั้งนี้ เรื่องที่กระทบต่อการท่องเที่ยวในไทยอย่างหนักก็คือ ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว กับการขาดสิ่งดึงดูดใจใหม่ ๆ ในไทย และปัญหาทั้ง 2 ข้อนี้ก็เกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ออก
การปรับภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ-การเมือง อัตราการว่างงาน รวมถึงภัยธรรมชาติและปัญญาประดิษฐ์ ล้วนสร้างความผันผวนทางเศรษฐกิจไปแทบทั้งโลก เมื่อเงินในกระเป๋าสตางค์ของคนหลายคนเริ่มฝืดเคือง การท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อนหรือความเพลิดเพลิน (leisure) จึงเป็นเรื่องที่ “รอได้” สำหรับคนส่วนหนึ่ง และคนกลุ่มนี้เองคือนักท่องเที่ยวที่หายไปในไทย ขณะเดียวกัน บางประเทศยังคงมีชาวต่างชาติเดินทางเข้าไปด้วยวัตถุประสงค์อื่น ๆ จนทำให้ภาคการท่องเที่ยวได้อานิสงส์ตามไปด้วย
“ยกตัวอย่างสิงคโปร์ ไม่ใช่ว่า [สถานการณ์เศรษฐกิจ] เขาจะดีกว่ากันเยอะนะคะ แต่ถ้าเราไปดูโปรไฟล์ของคนที่เข้าประเทศสิงคโปร์ เขาจะไปทำงาน ติดต่อธุรกิจ ไปประชุม แล้วเที่ยวต่อ เพราะฉะนั้น การเดินทางในลักษณะแบบนี้... ถึงแม้จะมีเรื่องเศรษฐกิจอะไรในโลกที่ชะลอตัว เขาก็ยังไป” ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบมจ.ดุสิตธานี ณ ขณะนั้น อธิบายไว้ในรายการสมมุติว่า เมื่อเดือนกรกฎาคม 2568
เมื่อเจอภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว หลายประเทศจึงออกมาตรการกระตุ้นให้คนท้องถิ่นเที่ยวกันเอง อย่างเมืองไทยเราก็มีโครงการต่าง ๆ เช่น เที่ยวไทยคนละครึ่ง และการส่งเสริมการเที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัด อย่างไรก็ดี บางประเทศมีกลยุทธ์มากกว่าการอัดฉีดเงินและการโฆษณา เพื่อจูงใจให้ผู้คนเที่ยวในท้องถิ่น
“[เช่น] ประเทศจีน เขาก็เศรษฐกิจไม่ดี จึงต้องชักจูงคนจีนเที่ยวจีนด้วยกันก่อน แล้วเขาก็ปรับตัว เขาดู [การท่องเที่ยวไทย] มา 10-20 ปี เห็นว่าคนไทยยิ้มเก่ง บริการดี สะอาด แล้วก็ทำตาม คนจีนชอบไปวัดไปไหว้พระที่ไทย... ก็สร้างดักอยู่แถวสิบสองปันนาเลย” สุเทพยกตัวอย่าง “[ตอนนี้] ประเทศไทยมีอะไร สิบสองปันนามีหมด”
นักท่องเที่ยวแต่งกายคล้ายชุดไทยในสิบสองปันนาของจีน (ภาพจาก: Hector Retamal/AFP)
ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านสามารถเนรมิตแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ เมืองไทยยังคงติดหล่มบางอย่างซึ่งทำให้โครงสร้างพื้นฐานและจุดขายใหม่ ๆ เกิดขึ้นไม่ได้เสียที จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งว่า ทำไมนักท่องเที่ยวต่างชาติถึงไหลไปประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น
“เวียดนามเขามีแม่เหล็กใหม่ ๆ ตั้งแต่เหนือ กลาง ใต้ ไม่ว่าจะเป็นบานาฮิลส์ ซาปา หรือฟูก๊วก เขาสามารถสร้างกระเช้าและสิ่งใหม่ ๆ จนติดอันดับต้น ๆ ของโลกได้ คนที่เคยไปแล้วก็ไปเที่ยวอีก” สุเทพเล่า “ไม่มีอะไรเลยนะครับถ้าเขาไม่สร้างขึ้นมาใหม่ ไทยเราดีกว่าเยอะมาก สู้ได้แหลกลาญเลย แต่เรายังไม่ได้สร้างอะไรเลย [ที่ดึงดูดให้คนกลับมาอีก]”
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการภาคการท่องเที่ยวรายย่อย (micro) และธุรกิจขนาดย่อม (small) – โดยเฉพาะในจังหวัดใหญ่ ๆ ทั้ง กรุงเทพฯ ชลบุรี สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต และเชียงใหม่ – ยังต้องเผชิญกับทุนต่างชาติผิดกฎหมายที่เข้ามาเปิดที่พัก ร้านอาหาร และบริษัทนำเที่ยว จนแย่งลูกค้าต่างชาติไปและอาจทำให้เงินไหลออกจากท้องถิ่น
สุเทพมองว่า ปัญหานี้หนักข้อขึ้นในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ประกอบการท้องถิ่นบางรายไปจับมือกับทุนเหล่านี้เสียเอง “ไม่ใช่ว่า [ทุนต่างชาติ] เขาทำฝั่งเดียวได้สำเร็จครับ [ในกรณีธุรกิจโรงแรม] พวกนี้จะเริ่มจากการเหมาอะพาร์ตเมนต์ [ของคนไทย] ก่อน พอผ่านไปเรื่อย ๆ [ต่างชาติก็เสนอว่า] ‘ยูขายเลยดีกว่า เดี๋ยวฉันบริหารเอง’”
จากอุปสรรคทั้งหมดที่กล่าวมา จึงน่าคิดต่อไปว่า เราควรพลิกช่วงเวลา (วิกฤต) เช่นนี้ให้เป็นโอกาสอย่างไร เพื่อทำให้การท่องเที่ยวไทยกลับมา “ปัง” พร้อมเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ผู้ประกอบการทั้งเล็กและใหญ่ ?
[ปัจจุบัน] เรากลายเป็น ‘หนึ่งในตัวเลือก’ ของนักเดินทาง เราเคยเป็น [ตัวเลือกหลัก] และก็ยังเป็นอยู่ในอันดับต้น ๆ แต่เรามีคนที่เริ่มไล่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ... เราต้องกลับมาเป็น ‘The One’ หรือ ‘The Choice’ ให้ได้
ศุภจี สุธรรมพันธุ์
ฟื้นการท่องเที่ยวไทย ‘ทั้งองคาพยพ’
ไม่ว่าจะเล็กจะใหญ่ ผู้ประกอบธุรกิจต่างมีแนวทางการปรับตัวที่ต่างกันไป แต่ทุกคนล้วนพูดคล้ายกันว่า รัฐต้องสนับสนุนให้เอกชนขับเคลื่อนการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ “อุตสาหกรรมท่องเที่ยวมันอยู่ได้ด้วยการขับเคลื่อนของผู้ประกอบการภาคเอกชนอยู่แล้ว ไปดูประเทศที่เขาเจริญแล้ว [รัฐ] เขาให้สัมปทานเอกชน” สุเทพให้ความเห็น “[เช่น โครงการก่อสร้างกระเช้าภูกระดึง] ถ้าเกิดมีนักลงทุนอยู่แล้ว รัฐไม่ต้องลงทุนนะ ให้เอกชนลงทุนไปเลย มีสัญญากันว่าดำเนินการกี่ปี พอถึงเวลาก็ตกเป็นของรัฐ แล้วดึงคนในท้องถิ่นมาทำอาชีพใหม่ด้วย”
ภูกระดึง
ส่วนศุภจี – ในฐานะผู้บริหารบริษัท ณ ขณะนั้น – เคยกล่าวไว้ว่า นอกจากจะต้องกระตุ้นศักยภาพการท่องเที่ยวไทยและพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องแล้ว รัฐก็ต้องลดความซ้ำซ้อนทางราชการด้วย “[เช่น] เอากรม กอง และหน่วยงาน [มา] ทำงานเชื่อมโยงกัน เพื่อให้เกิดวัตถุประสงค์เดียวกัน... คือทำให้การท่องเที่ยวไทยไปข้างหน้าได้” ทั้งนี้ สิ่งหนึ่งที่ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องทำเพื่อเรียกแขกให้โลกกลับมาเยือนสยามเมืองยิ้มอีกครั้งซ้ำ ๆ บ่อย ๆ ก็คือ การ “รีแบรนด์” ภาพลักษณ์การท่องเที่ยว
ช่วงปี 2568 ที่ผ่านมานี้ ก็มีข้อเสนอหลายอย่างเกี่ยวกับการสร้างภาพลักษณ์ท่องเที่ยวไทยใหม่ ศุภจีเคยกล่าวไว้ในรายการสมมุติว่า ว่า การท่องเที่ยวไทยควรสร้างจุดขายใหม่ 3 ข้อ คือ การท่องเที่ยวสีเขียว (Green) การท่องเที่ยวสร้างสรรค์ (Creative) และการท่องเที่ยวอัจฉริยะ (Smart) ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมของนักเดินทาง และแนวทางการพัฒนาในปัจจุบัน
การท่องเที่ยวสีเขียวนั้นไม่ได้มีการเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมธรรมชาติ และสร้างความตระหนักรู้เรื่องปัญหาโลกรวนเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการกระตุ้นให้ผู้ประกอบการจัดการทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมปล่อยมลพิษน้อยที่สุด โดยรัฐนั้นต้องสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านเพื่อความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม
“สมมุติว่า [ผู้ประกอบการ] ไปลงทุนเรื่องพลังงานทดแทน อาจจะใช้โซลาร์เซลล์ พลังงานน้ำ ลม หรือใด ๆ ก็สามารถเอามาลดหย่อนภาษีได้มากกว่าปกติ” ศุภจีกล่าว “[หรือหากโรงแรมอยากจัดการขยะอาหาร] เราอยากจะให้เขาซื้อเครื่อง [ย่อย] ขยะอาหารมาทำปุ๋ยอินทรีย์... เขาก็ต้องอยากได้ subsidy [เงินอุดหนุน] หรือการลดหย่อนด้วย”
ส่วนการท่องเที่ยวสร้างสรรค์นั้น อาจทำได้ผ่านการขายซอฟต์พาวเวอร์ ภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือแม้กระทั่งประวัติศาสตร์ชาติ เช่น การท่องเที่ยวสายมู กับเส้นทางท่องเที่ยวบรรพชีวินวิทยาในภาคอีสาน ไม่เพียงแต่จะมีรายได้เพิ่ม แต่คนท้องถิ่นยังได้กลับมาทำงานที่บ้านเกิด รู้สึกภาคภูมิใจ พร้อมพัฒนาชุมชนของตัวเองไปในตัว ส่วนภาครัฐ – โดยเฉพาะหน่วยงานด้านการศึกษา การท่องเที่ยว และวัฒนธรรม – สามารถเสริมสร้างองค์ความรู้ ที่จำเป็นเพื่อให้ชุมชนดำเนินงานเอง และหากทำถูกทาง ธุรกิจชุมชนเช่นนี้ก็อาจส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นได้ด้วย
ศาลพระพรหมเอราวัณ สถานที่ "สายมู" ที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ
สัญญา มัครินทร์ ผู้ก่อตั้งท่องเที่ยวสีชมพู อ.สีชมพู จ.ขอนแก่น แบ่งปันแนวทางการพัฒนาธุรกิจท่องเที่ยวชุมชนไว้ในรายการฟังเสียงประเทศไทย เมื่อเดือนสิงหาคม 2567 ว่า “ในแง่หนึ่ง นอกจากจะใช้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือ สิ่งหนึ่งเราทำคือ... 360 องศาครับ ทำทั้งเรื่องการศึกษา ใช้เครื่องมือการเรียนรู้ สร้างประสบการณ์ ให้คนมาใช้ศักยภาพพื้นที่ตรงนั้น ไม่ใช่มาเที่ยวมาถ่ายรูป เราเริ่มไปทำงานกับครู หรือแม้แต่ชาวบ้านเอง ให้เขาได้ทำงานมิติอื่น ๆ”
ซากไดโนเสาร์ที่มีการขุดค้นพบในจ.กาฬสินธุ์ (ภาพจาก: Locals Thai PBS)
สำหรับการสร้างท่องเที่ยวอัจฉริยะนั้น ควรชูความสะดวกสบายคู่กับความปลอดภัย อย่างน้อยที่สุด แหล่งท่องเที่ยวกับโรงแรมต้องมีอินเทอร์เน็ตที่ดี ถ้าพร้อมมากพอ ก็ควรลงทุนเพิ่มอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เพื่อรองรับดิจิทัลนอแมดและคนเจนซี
แหล่งธรรมชาติในอ.สีชมพู จ.ขอนแก่น (ภาพจาก: Facebook เที่ยววิถีสีชมพู)
ส่วนบริษัทท่องเที่ยวต่าง ๆ ก็อาจสร้างแพลตฟอร์มให้นักท่องเที่ยวกลุ่ม FIT เลือกโปรแกรมทัวร์ในแบบที่กำหนดเองได้ – ไม่ว่าจะเป็นสถานที่หรือตัวไกด์ก็ดี – แทนที่จะจัดทัวร์ตายตัวขนาดใหญ่เหมือนเมื่อก่อน และรัฐเองต้องควบคุมมาตรฐานความปลอดภัยสำหรับสถานที่ต่าง ๆ กับใช้เอไอช่วยวางระบบป้องกันและบรรเทาภัย พร้อมวิเคราะห์จุดเสี่ยงต่าง ๆ
นอกจากการรีแบรนด์ภาพลักษณ์แล้ว ภาครัฐควรทำโปรโมชัน “ลดแลกแจกแถม” ดึงดูดให้คนต่างชาติมาเที่ยวไทยด้วย สุเทพมองว่า มาตรการยกเว้นวีซ่าถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ก็ต้องมีการอุดหนุนเงินให้นักท่องเที่ยวด้วย นโยบายเช่นนี้สามารถอัดฉีดเงินเข้าสู่ธุรกิจท่องเที่ยวโดยตรง บวกกับลดค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวไปในตัว ไม่ต่างจากนโยบายคนละครึ่ง อีกทั้งยังประยุกต์ให้เข้ากับโครงการส่งเสริมเมืองรอง 55 จังหวัดได้ด้วย
“ก็คิดอยู่ว่า… ทำไมคุณไม่ทำเกมสุ่มแจกบัตรแทนเงินสดที่จุดตรวจคนเข้าเมืองเหมือนไต้หวัน เพื่อให้นักท่องเที่ยวมาใช้จ่ายล่ะ ? ช่วยผู้ประกอบการได้ไม่รู้กี่ร้านต่อกี่ร้านครับ ถามว่าหน่วยงานรัฐเคยทำไหม ? เคยครับ แต่ทำไม่ต่อเนื่อง” สุเทพเล่า “หรืออีกไอเดียหนึ่งคือ รัฐให้เงินอุดหนุนบริษัททัวร์ จัดรถบัสและโปรแกรมเที่ยวเมืองรอง เลี้ยงอาหารชุมชนอย่างดีให้นักท่องเที่ยวกินฟรี ให้เขาได้ชอปปิง ดูโชว์ ฯลฯ อันนี้นักท่องเที่ยวได้ตรงเลย... ผู้ประกอบการก็บอกว่า ‘ทำไมไม่ทำล่ะ ?’”
หน่วยงานรัฐบอกว่า เขามีหน้าที่กระตุ้น [การท่องเที่ยวผ่าน] โฆษณาและพีอาร์... แต่การทำให้เกิดการรับรู้อย่างเดียวไม่พอครับ มันต้องกระตุ้นเม็ดเงินไปถึงภาครากหญ้าหรือผู้ประกอบการ SMEs ด้วย อย่างที่นโยบายรัฐทุกรัฐบาล [มักจะกล่าวถึง]
สุเทพ อารมณ์รักษ์
ภาครัฐไทยและสายการบินก็พยายามร่วมกันเปิดเส้นทางใหม่ ๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวระยะไกลที่มีกำลังซื้อสูง เช่น อาบูดาบี-กระบี่ ที่เพิ่งเริ่มให้บริการ และอาบูดาบี-เชียงใหม่ ซึ่งจะเปิดเที่ยวบินแรกในเดือนพฤศจิกายน 2568 อย่างไรก็ดี ยังมีนโยบายอีกอย่างหนึ่งที่ดูจะท้าทายสหัชญาณของเราไม่มากก็น้อยคือ การกระตุ้นคนไทยไปเที่ยวเมืองนอก เมื่อไทยเราหวังให้ชาวต่างชาติมาเยือนไทย พวกเขาก็ย่อมอยากให้เราไปเที่ยวที่บ้านเมืองเขาเช่นกัน และถ้ามองในแง่ธุรกิจการบินด้วย ก็ไม่มีสายการบินใดอยากตีเครื่องเปล่ากลับกองบินตัวเอง
เที่ยวบินอาบูดาบี-กระบี่ เที่ยวปฐมฤกษ์ของสายการบิน Etihad เมื่อเดือนตุลาคม 2568
“สมมุติว่าคุณเป็นคนญี่ปุ่นที่มาไทย ขาบินมา คุณจ่าย 10,000 บาท แต่ตอนขากลับ เครื่องบินไม่มีคนไทยเลย แทนที่จะจ่ายเงินเท่าขามา คุณก็โดนชาร์จค่าใช้จ่ายเพิ่มคูณสอง [เพื่อชดเชยผู้โดยสารที่หายไป] คำถามคือ แล้วคุณจะมาไหม ?” สุเทพตั้งคำถาม “[เพราะฉะนั้น] ถ้าคุณไม่เอาคนไทยไปเที่ยวบ้านเขา เขาก็ไม่มาบ้านเรา... คุณต้องทำทุกวิถีทาง คุณต้องทำทุกประตู ทั้งไทยเที่ยวไทยและไทยเที่ยวนอกครับ”
อย่าทิ้งใคร (ในการท่องเที่ยวไทย) ไว้ข้างหลัง
การสร้างแม่เหล็กใหม่ ๆ กับเงินอุดหนุนต่าง ๆ จำเป็นต่อการกระตุ้นท่องเที่ยวไทย แต่เราก็ไม่ควรหลงลืมคนตัวเล็ก ๆ ที่คอยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมนี้ด้วย อย่างเช่น มัคคุเทศก์ที่ควรจะได้รับการส่งเสริมและรายได้ที่เต็มเม็ดเต็มหน่วย
“ทุกอาชีพอยู่ในตัวไกด์หมดเลย ทั้งนักแสดง ครู วิทยากร พยาบาล ตำรวจ นักไกล่เกลี่ย เขาคือหน้าตาของประเทศไทย” สุเทพกล่าว “ฉะนั้นแล้ว ระบบต้องส่งเสริมไกด์ เช่น เอาไกด์ไปไว้บนแพลตฟอร์ม ให้นักท่องเที่ยวเลือกเลยว่าจะเอาไกด์คนไหน แล้วให้คะแนนเป็นดาว อย่างนี้แล้ว ไกด์จะกล้าทำไม่ดีไหม ? ก็ไม่กล้าครับ ถ้าทำไม่ดีก็โดนรีวิวด่า ใครทำดีแล้วได้รางวัลการันตีเยอะ ๆ คุณก็เรียกค่าตัวเพิ่มขึ้นได้ด้วย จ่ายแพงหน่อยก็ต้องให้เขา”
การส่งเสริมคนที่มีอยู่แล้วอาจยังไม่พอ หน่วยงานการศึกษา ภาครัฐ และภาคธุรกิจจึงต้องร่วมมือกันปั้นมัคคุเทศก์หน้าใหม่ ๆ เข้าสู่ตลาดด้วย เพื่อแก้ปัญหาเด็กจบใหม่ตกงานและไกด์นำเที่ยวเถื่อนในคราวเดียวกัน “คุณให้เด็กหรือคนที่อยากเป็นไกด์มาเรียนภาษาจีนหรือภาษารัสเซียฟรีเลย ไม่ต้องไปเก็บเงินเขา 3-4 หมื่น” สุเทพให้แนวคิด
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
บริษัททัวร์ก็ถือเป็นอีกแรงหนึ่งที่คอยขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทยมานาน แม้ปัจจุบัน คนต่างชาติจะแบกกระเป๋าเที่ยวเองมากขึ้น แต่ยังมีแนวทางหลายอย่างที่ผู้ประกอบการเหล่านี้สามารถปรับตัวให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ “ผู้ประกอบการควรใช้ไอทีและโซเชียลมีเดีย [สื่อสาร] กับนักท่องเที่ยว [รุ่นใหม่] มากขึ้น และปรับการบริหารหลังบ้าน ใช้ฟรีแลนซ์กับ profit sharing [การแบ่งกำไร] มากขึ้น ลดต้นทุนบางเรื่องออกไป” สุเทพกล่าว
ที่สำคัญกว่านั้น บริษัททัวร์ควรทำการตลาดเจาะกลุ่มคนไทยด้วยกันเองให้มากขึ้น “ถ้าเกิดมีปัญหาขึ้นแล้วคนต่างชาติไม่มา คุณก็จะมีตลาดคนไทยรองรับไว้บ้าง เพราะเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้างหน้า ตอนโควิดนี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งครับ” สุเทพเกริ่น
“อย่างตอนนี้ จำนวนผู้สูงอายุมากขึ้นเรื่อย ๆ และมีศักยภาพใช้จ่าย... ช่วงหลังโควิด ผมเคยเขียนแผนเอาไว้ ถ้าทริปไหนที่มีผู้สูงอายุทั้งทัวร์ แล้วให้รัฐช่วยจัดหาพยาบาลมาประกบ เอาไว้เพิ่มความอุ่นใจและความปลอดภัย [แถมยังได้] ผลิตพยาบาลให้ทำงานด้วย เที่ยวไปด้วย มีความสุขกันหมดครับ”
ชุมชนเองก็กำลังมีบทบาทมากขึ้น แน่นอนว่า รัฐต้องจัดหาองค์ความรู้ ทรัพยากร และคมนาคมเพื่อสร้างแหล่งท่องเที่ยวชุมชนสักแห่ง แต่ทุกอย่างจะดำเนินต่อไปได้ หากคนในชุมชนกระตือรือร้นและใส่ใจ
“ด้วยพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไป ระยะเวลาจะเหลือสั้นลงมากครับ เช่น จองวันนี้ อยากไปพรุ่งนี้ แต่โดยธรรมชาติของการท่องเที่ยวชุมชนเป็นอย่างไรครับ ? เราต้องเตรียมการล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วัน 7 วัน [ดังนั้น] เราต้องอาจดูว่า… กระบวนการดำเนินงานของชุมชนเอง สามารถปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวได้แค่ไหน” ธนาวุฒิ ศุภางคะรัตน์ ผู้ประกอบการเพื่อสังคม SiamRise Travel กล่าวไว้ในรายการฟังเสียงประเทศไทย
ท่องเที่ยวชุมชนกำลังจะสำคัญมากขึ้น (ภาพจาก: Facebook SiamRise Travel)
ทั้งหมดนี้เป็นการวิเคราะห์ภูมิทัศน์การท่องเที่ยวไทยในปัจจุบันโดยสังเขป บางที มนต์เสน่ห์ของสยามเมืองยิ้มอาจยังไม่มลายหายไปเสียทีเดียว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เราควรอยู่นิ่งเฉยแล้วรอให้นักท่องเที่ยวกลับเข้าไทย นี่อาจเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการปรับเปลี่ยนหลายสิ่งอย่าง เพื่อให้การท่องเที่ยวไทยยืนหนึ่งได้อย่างที่หลายคนหวัง
ติดตามบทความและเรื่องราวทันทุกกระแสที่ Thai PBS NOW: www.thaipbs.or.th/now
โฆษณา