21 ต.ค. เวลา 14:48 • ปรัชญา
ปัญญา ในการรู้จริง มันต้องปฏิบัติธรรมขึ้นมา เข้าไปให้ถึง ที่ว่า จิตถึงธรรม มันไม่ใช่มีปัญญาแบบคิดวิเคราะห์ แยกแยะ เห็นไอ้นั้นไอีนี่ เค้าว่าอย่างนั้นอย่างนี้คิดวิเคราะห์ ไปตามที่เคยเรียนรู้ตามหนังสือหนังหา เอาเล่มนั้นมา เอาเล่มนี้มา คิดวเคราะห์ เค้าว่าอย่างนั้นอย่างนี้ มันต้องปฏิบัติธรรมขึ้นมา เหมือนที่ว่า จิตหลุดพ้น เอ..มันเป็นอย่างไรน่ะ หลุดพ้นอะไรน่ะ ก็จิตยังอาศัยอยู่ในกาย มันยังไม่ตาย หชุดพ้นการเกิดแก่เต็มตาย .มันเป็นไปได้อย่างไร ทำยังไง จึงหลุดพ้นเกิดแก่เจ็บตาย .
..เรื่องราวของธรรม นั้น ท่านชี้ ให้สร้างบุญกุศลบารมี เราจะเดินตามรอยใคร หากเราเดินตามรอยพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านทำอะไรมาก่อน เราก็ฝึกหัด ทำตาม เดินตาม นำมาฝึกหัดขึ้นมา ให้กายมีบุญขึ้นมา ..บุญเป็นอย่างไร ที่เค้าเรียกว่า กายบุญ เราก็ต้องเรียนรู้จัก ปฏิบัติธรรมขึ้นมา อยู่เฉย ไม่ลงมือทำ มันจะเช่วยให้กายกรรม เป็นกายบุญได้หรือ กายกรรมกายของจิตผู้มีกรรม อาศัยในสังขารกรรม ก็มีให้ดู เป็นตัวอย่างในสายตาที่พบเห็น .
เรื่องราวที่ เวลาเราฟังธรรม พระท่านก็บอกว่า ข้อที่หนึ่ง เรารู้จักคำว่าจิตของตัวเองมั้ย คราวนี้ จิตของเรา มันห้อมล้อม ไปด้วยกรรม กายก็เป็นกรรม ขันธ์ห้าก็เป็นกรรม วิญญาณทั้งหกก็เป็นกรรม มันห้อมล้อม ไปด้วยอารมณ์กรรม เป็นสีดำสีม่วง เหมือนจิตจมอยู่กับโคลนตม นั่นแหละจึงเป็นสิ่งที่ยากที่จิตเรา จะแหวกออกมาจากโคลนตม พระท่านก็ชี้ให้สร้างบุญกุศล ทำอย่างไรที่เรียกว่า สร้างบุญกุศล คัดเอ้าท์กรรม ออกไป จากกาย ที่เสมือน ดินโคลน ปั้นขึ้นมา ให้จิตของเราอาศัยอยู่ข้างใน
จิตอาศัยในกายเป็นจิตน้อยๆอาศัยในเรือนกาย จิตน้อยๆเป็นอย่างไร เราก็ไปดูมดดูปลวก แมลง นั้นก็มีจิตอาศัยอยู่ จิตน้อยๆ ตัวเราก็จิตน้อยๆ อาศัยในรูปร่างที่ใหญ่โต แต่จิตเล็กนิดเดียว ทำอย่างไร เราจะให้จิตเราโตขึ้นมา นั่นก็เรื่องราวที่ว่า เราฟังธรรม เราก็ไปใครครวญพิจารณา ฟังแล้วก็ปฏิบัติธรรมขึ้นมา
เมื่อฟังแล้ว ไม่ปฏิบัติธรรมตาม เหมือนเทวทัต อยู่ใกล้พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็ชี้ทางให้ บอกให้ทำ แต่ด้วยทิฐิของเทวทัต หลงว่าตัวเองรู้แล้ว ก็ไม่ทำตาม จิตหนึ่งของเทวทัต ก็คิดครองศาสนา เป็นใหญ่ในศาสนาเสียเอง นั่นแหละ ก็ทำให้เทวทัต ผิดพลาดมหันต์ ก่อนสิางที่เรียกว่า อนันตริกรรม
..เราฟังธรรมจากพระ ท่านก็เล่า เรื่องนั้นเรื่องนี้ สาธยายธรรม นั่งสมาธิ นั่งพับเพียบ เอาหูเราฟังเสียงท่าน ให้วิญญาณหูจับ เสียงที่ท่านพูด สิ่งที่พระท่านสอน เสียงที่ท่านเปล่ง แสงรัตนะ เราก็ให้วิญญาณหูจับเสียง จิตก็เฉยๆ ไม่มีอารมณ์ปรุงแต่ง เพื่อที่จะให้เสียงที่ท่านบอกมา บันทึกลงไปที่ธาตุทั้งสี นี่ก็เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ที่เวลาฟังธรรม เราก็นำไปพิจารณา ฝึกหัดตัวเองอีเหมือนกัน
แล้วเรื่องที่สำคัญมากๆ ที่ว่า กายนี้เหมือนต้นเทียน จิตนั้นเสมือนไส้เทียน หากเราเจอผู้ที่ท่าน มีธรรม .ปฏิบัติธรรมขึ้นมาให้จิตมีธรรม จิตที่มีแสงรัตนะ ส่องมา เปล่งออกมา เข้าไปสู่จิต ..ที่เค้าเรียกว่า จุดเทียนธรรมขึ้นมา แสงที่ถูกจุดขึ้นมา มีใช่ว่า ท่านจะส่งแสงธรรมให้สว่างเจิดจ้า ส่งมากไป กายก็เหมือนร้อนเป็นไฟ ..เท่านั้นแหบะ จิตก็ไปยึดกองไฟเสียแล้ว
กายเรานั้นมันมีกรรมอยู่ ที่ขวางกั้น ท่านก็พยายามส่งแสง เข้าไปให้จิตน้อยที่อาศัยในกายกรรม ส่งให้มากก็ไม่ได้ เพราะแสงนั่น ไปกระทบธาตุทั้งสี สีเวรกรรมก็ลอยขึ้นมา เร่าร้อนไปทั้งเรือนกาย จิตอาศัยในกาย ไม่อดทน ไม่เข้มแข็ง ก็ขยับเขยื้อนกาย อารมณ์ที่ลอยขึ้นมา ก็แต่งกาย จิตสีบสนมึนเมา มึนงง ด้วยอารมณในกายตนเองเหมือนเสพของมึนเมา จิตขาดสติสัมปชัญญะ ไม่สามรถอยู่นิ่งได้ เพื่อจะปลดเปลื้องอารมณ์กรรมตัวกระทำที่ไหลออกมาจากธาตุทั้งสี่
คราวนี้ ไส้เทียนที่ไม่ถูดจุด มันก็ไม่มีอะไรละลายออกมา สะสมมาอย่าไรก็อยู่อย่างนั้น ถเมื่อถึงกายเวลา หมดเวลาที่ได้กายมา ก็ไม่ได้ สะสาง กรรม ที่ติดตามมากับธาตุทั้งสี่ โมฆะไปหนึ่งชาติ
แล้วไส้เทียน ที่เป็นจิตที่มีต้วเทียนห่อหุ้มไส้ เทียน มีประโยชน์อะไรบ้าง ย้อนกลับที่ว่า กายนั้นเหมือนโคลนตม เป็นต้นเทียนที่ห่อหุ้มจิตอยู่ เมื่อไส้เทียนถูกจุดขึ้น มีอะไรละลายขึ้นมา จากเปลวเทียนที่ติดไฟ เป็นเขม่าควันดำ ค่อยถูกเผาไหม้ขึ้นมา ลอยขึ้นมาด้วยสิ่งที่สะสมมากับต้นเทียน จิตก็นิ่งๆเฉย ไม่ไปยึด กาย็นิ่งเฉยๆ ให้เขม่านั้นลอยออกไป ลอยอารมณ์กรรมตีวกระทำที่สะสมมา .นั่นเป็นเรื่องราว ของการที่ทำกายนิ่ง จิตนิ่ง ..ชำระสะสางกรรมที่เคยทำมา เรื่อยอย่างคุยกันมันเป็นสมมุติ ก็ต้องลงมือปฏิบัติขึ้นมา
เมื่อฟังแล้วเราก็เอาสิ่งที่บอกกว่า ไปฝึกหัดทำขึ้น แม้แต่การกราบพระ ก็ต้องฝึกหัด ไม่ใช่ว่า ฟังครั้งเดียวจะทำได้เลย เอาเรื่องที่ง่ายๆ เรื่องการกราบพระ กราบอย่างไรจะถึงพระ กราบอย่างไร มีบุญกุศลขึ้นมา มีแสงรัตนะขึ้นมา มันค้องฝึกหัดทั้งนั้น ปฏิบัติธรรมขึ้นมา เราถึงจะค่อยๆ จิตน้อยๆ เล็ก ค่อยแง้มๆ ขึ้นมา จากโคลนตม
เรื่องราวเหล่านี้ เรื่อบราวการประพฤติปฏิบัติธรรม มันก็เกี่ยวเนื่องจาก นิสัยอดีตกาล ที่เคยทำมา หากไม่เคยทำมา ไม่เคยปฏิบัติ ด้วยรอยทั้งสี่ของพระมา มันก็ยากจะเรียนรู้จัก กรรมในตัวตนที่จิตอาศัยกายนั้นแหละ ก็ขัดขวาง ไม่อยากให้คนขึ้นไปที่สูงๆ เป็นเทพยดาอินทร์พรหม หากมีมีนิสัย ก็ลังเลๆ ไปจนเฒ่าชราตาย ไปกับความลังเลสงสัย
เมื่อเราลงมือกปฏิบัติธรรมขึ้นมา ตามรอยทั้งสี่ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็สร้างบุญกุศลไปด้วย ให้กายเป็นบุญ วิญญาณหกเป็นบุญ มันก็เป็นเรื่องราวที่ว่า ปัจจัตตัง ที่เกิดจากการสร้างบุญกุศลปฏิบัติธรรมวขึ้นมา เราก็จะค่อย เรื่องราวต่างที่จิตอาศัยอยู่ในเรือนกายนี้
เรานั้นก็เคยเป็นอย่างนี้ พระท่านก็บอกว่า ปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆ มันเป็นตวามรู้ ที่มาจากกายที่อาศัย รู้จักอารมณ์ที่ปรุงแต่ง ขันธ์ห้าที่อารมณ์ปรุงแต่บกาย จิตที่อาศัยในกาย ต้องปฏิบัติธรรม สร้างบุญกุศลขึ้นมา
ความรู้แบบจดจำเค้ามา มันก็ไม่เหมือนความรู้ ที่เราประพฤติปฏิบัติธรรมขึ้นมา มันเป็นความรู้ ที่ว่าปัจจัตตัง ต้องให้จิตของตนเรียนรู้ขึ้นมาเอง นั่นแหละเป็นสิ่งที่ยาก .เพราะเป็นเรื่องราว นำพาให้จิตพ้นทุกข์ ธรรมอัตตาสอนให่ยึดก็มี ใช้สายตาอ่านจนจบพระไตรปิฏก แล้วทำไม ไปมีครอบครัว มีอารมณ์โลภโกรธหลงให้เพิ่มพูนกรรมของตนเอง
เวลาปฏิบัติธรรมความรู้ที่จดจำมา ก็ต้องวางให้หมด เหลือแต่จิตภาวนาพุทโธ สองคำ .ทำกายให้นิ่งจิตเฉย ..ได้ จิตก็จะค่อยมีปัญญา พิจารณาสิ่งไหน เป็นโลก สิ่งไหนเป็นธรรม เดินลดละโลก ถ่อยห่าง การเกิดแก่ตายให้มันน้อยลงไป
ในการประพฤติปฏิบัติธรรม จิตเค้าเคยสะสมมาแต่อดีตชาติ เค้ากเสาะแสวงหา จิตที่มีธรรม อยากจะฟังธรรม จากจิตของท่าน ..ธรรมจากจิต ของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติธรรม ตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านเข้าถึงคำว่า ธรรม ..นั้นหาได้ยาก . เพราะเค้าฟังไปเพื่อ ไปทบทวน แก้ไขสิ่งที่ ผิดพลาด สิ่งที่จิตนั้นหลงไหลอยู่ โดยไม่รู้ตัว ว่าสิ่งนั่น นำพาจิตให้เดินทางยาวไกล ..
ทางที่ยาวไกล ยาวนานอสงไขย .ทางนรกเปรตอสุรกาย มันมองกันไม่เห็น่ด้วยสายตนั้น มันเป็นสายตา ตาของผู้ที่มีกรรม ที่จิตอาศัยในกายก็เป็นกายกรรม มันมองตัวเองไม่ออกเลย ที่เค้าว่า อ่านตัวเอง อ่านจิตตัวเองไม่ออก. ว่าจิตจะเดินทางไปทางใด เมื่อไม่มีกายให้อาศัย
มีพระท่านบอกเราเสมอว่า ท่องไว้ ..เรายังไม่รู้จริง ยังทำไม่ได้ เพราะฉันยังทำไปถึง คำว่าธรรม เราก็สร้างบุญกุศล ปฏิบัติธรรม ไปเรื่อยๆ
โฆษณา