23 ต.ค. เวลา 12:09 • ปรัชญา
ศูนย์ปฏิบัติธรรมภูเก็ต

ธรรมะคืออะไร?

ธรรมะคือความจริงบริสุทธิ์ที่เปิดเผยตัวเองอยู่ตลอดเวลา มีอยู่ในทุกคน ปรากฏอยู่ในทุกหนแห่ง
เพียงแต่อวิชชา "ความไม่รู้" ทำให้เราหลงยึดถือเปลือกของธรรมะ คือกายและใจนี้เป็นความจริง จึงไม่อาจเข้าถึงความจริงอันบริสุทธิ์ภายในได้
การปฏิบัติธรรมจึงเป็นการกระทำเพื่อเพิกถอนความไม่รู้ คลายความหลง ไปสู่ความรู้แจ้ง เข้าสัมผัสกับความจริงด้วยสิ่งที่เรียกว่า "ปัญญา"
🪷 สมถะและวิปัสสนา: สองเท้าที่ต้องเดินร่วมกัน
การกระทำเพื่อเข้าถึงความจริงในพระพุทธศาสนาแบ่งตามอาการออกเป็นสองอย่าง คือ "สมถะ" และ "วิปัสสนา" จะเรียกรวมว่า "กรรมฐาน" ก็ได้ เพราะเป็นการกระทำที่มีฐานที่ตั้งของใจ
สมถะคือการเพ่งการรับรู้ไปยังจุดเดียวอย่างมั่นคง
จะใช้เป็นอะไรก็ได้แล้วแต่ความสะดวก—คำบริกรรม แสง สี ภาพ ลมหายใจ—เลือกยึดสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็น "อารมณ์"
ผลที่ได้คือ "สมาธิ" หรือความตั้งมั่น ที่เราต้องนำไปใช้ในการวิปัสสนา และอาจเข้าถึงความสงบลึกที่เรียกว่า "ฌาน" ซึ่งเป็นสภาวะของการพักจิตชั้นยอด ซึ่งเป็นผลพลอยได้ของสมถะกรรมฐาน
🪷 วิปัสสนาคือการเปิดโหมดรับรู้โดยไม่มีตัวตน
เป็นการสังเกตธรรมชาติของกายและใจตามความเป็นจริง โดยไม่นำความคิด ความจำ การตัดสิน ที่ยังถูกครอบงำโดยอวิชชามาใช้เป็นเครื่องมือ
การปฏิบัติวิปัสสนาต้องมีความตั้งมั่นของใจที่มีกำลังมากพอ มิฉะนั้นจะถูกกระแสอารมณ์พัดพาไป ในระหว่างสังเกตการณ์ภายในกายและใจ ผลที่ได้คือ "ปัญญา" จากประสบการณ์ที่ได้สัมผัสความจริงโดยตรง
สมถะให้ความตั้งมั่นและกำลังของใจ วิปัสสนานำไปสู่ปัญญา
ขาดสมถะก็ไม่มีกำลังวิปัสสนา ขาดปัญญาก็ยิ่งหลงไปกับความสงบ ทั้งสองจึงเกื้อกูลและต้องดำเนินไปด้วยกัน เหมือนขาทั้งสองข้างที่ต้องใช้ร่วมกันจึงจะเดินไปได้
🪷 ทุกรูปแบบเป็นเพียงอุบาย
แล้วปฏิบัติท่าไหนถึงถูก?
ความจริงคือ รูปแบบทุกชนิด—"พุท โธ" "ยุบ พอง" "สัมมา อะระหัง" การฟังธรรม การสวดมนต์ การดูลม การดูจิต การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว—ทุกวิธีล้วนเป็นอุบายที่ครูอาจารย์ใช้ถ่ายทอดวิธีปฏิบัติภายใน เพื่อฝึกฝนให้ชำนาญในการวางใจไว้กับฐานเท่านั้น ทุกอุบายมีไว้เพื่อข้ามพ้นอุบาย
ดังนั้นไม่ว่าจะฝึกด้วยวิธีการหรืออิริยาบถใดก็ตาม หากวางใจผิด จิตส่งออกไปรู้นอกฐานก็ไม่เกิดผล
การปฏิบัติธรรมที่สุดแล้วจึงไม่ได้เกี่ยวกับท่าทางและวิธีภายนอกเหล่านี้ แต่คือการเข้าใจถึงแก่นแท้ แทบทุกวิธีสามารถใช้เป็นอุบายฝึกได้ทั้ง สมถะ และ วิปัสสนา หากรู้จักวางใจให้ถูกตามธรรม
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ "อานาปานสติ" ที่พระพุทธเจ้ายกย่อง
หากใช้วิธีเพ่งการรับรู้ไปจุดเดียว โดยใช้ลมหายใจเป็นอารมณ์ จับลมเป็นหลักแน่น ดึงใจกลับมาทุกครั้งที่หลุด—นี่คือสมถะ
แต่ถ้าใช้วิธีสังเกตลมหายใจอย่างที่ธรรมชาติเป็น ไม่เพ่ง แค่รับรู้เบาๆ กว้างๆ และชำเลืองความรู้สึก นึกคิดที่ผุดพรายขึ้นไปพร้อมกันโดยปราศจากการแทรกแซง—นี่คือวิปัสสนา
วิธีเดียวกัน แต่การวางใจต่างกัน ผลที่ได้จึงต่างกันและสามารถสลับไปมาได้ตลอดเมื่อเกิดความชำนาญ
🌏 ตัวอย่างการปฏิบัติในชีวิตจริง
เมื่อชำเลืองรู้ลมและความรู้สึกในชีวิตจริง บางครั้งปรากฏผัสสะหรืออารมณ์ที่แรงกล้า เหมือนพายุที่โหมกระหน่ำจนรู้สึกว่ากำลังความตั้งมั่นไม่พอ
ภายในก็อาจปรับโหมดเป็นสมถะ รวมใจเข้าหาจุดเดียว เพื่อ "หลบพัก" แต่ไม่ใช่ "หลบหนี" เป็นการเก็บกำลัง ให้ใจมั่นคงพอที่จะไม่ตอบสนองต่ออารมณ์อันรุนแรงนั้น
เมื่อพายุแห่งอารมณ์ซาลงแล้ว ก็ออกไปเผชิญหน้าเรียนรู้ความรู้สึกต่อไปด้วยวิปัสสนา
ผู้ที่ชำนาญแล้ว ทุกอย่างจะกลายเป็นอัตโนมัติ
ธรรมะจะไม่ใช่สิ่งที่ต้องแยกออกมาปฏิบัติ
แต่กลายเป็นวิถีชีวิต
เป็นการมองเห็นความจริงในทุกขณะจิต
การสลับโหมดไปมาระหว่างสมถะและวิปัสสนาเกิดขึ้นเอง ไหลลื่นราวกับลมหายใจ ทำงานควบคู่กันไปตลอดเวลาในระหว่างที่ใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เฉพาะตอนฝึกฝนตามรูปแบบเท่านั้น
🪷อย่ายึดติดในรูปแบบ แต่เข้าใจแก่นแท้
ดังนั้นไม่ว่าท่านจะฝึกฝนด้วยรูปแบบวิธีการใดก็ตาม ขออย่าได้ยึดติดในรูปแบบ
รูปแบบเป็นเพียงบันได สิ่งสำคัญคือต้องเกิดความเข้าใจ มีความชำนาญ แล้วนำมาใช้ในการปฏิบัติธรรมในชีวิตจริงได้ทุกอิริยาบถ—ทั้งยืน เดิน นั่ง นอน
เมื่อฝึกนานเข้า เราจะพบว่า การปฏิบัติธรรมก็เหมือนการฝึกกระบี่
เริ่มต้นต้องเรียนท่ารำ ฝึกจับดาบ ฝึกยืน ฝึกจังหวะ ทุกอย่างเป็นแบบแผน
แต่เมื่อชำนาญ ท่าทางทั้งหมดจะสลายไป เหลือเพียง “การรู้ที่บริสุทธิ์”
การฝึกกรรมฐานก็เช่นกัน
เราฝึก “กระบวนท่าแห่งสมถะ” เพื่อรวบรวมกำลังใจ
เราฝึก “กระบวนท่าแห่งวิปัสสนา” เพื่อเปิดการเห็นตามจริง
แต่เมื่อถึงที่สุด ทั้งสองก็รวมเป็นหนึ่ง
นี่คือจุดที่เรียกว่า “ไร้กระบวนท่า”
คือภาวะที่การปฏิบัติธรรมกลายเป็นธรรมชาติ
ทุกลมหายใจคือการภาวนา ทุกอิริยาบถคือความรู้
เมื่อถึงตรงนี้ การปฏิบัติจะดำเนินไปเองโดยไม่ต้องมีผู้ปฏิบัติ
และผลทั้งหมดของการฝึกฝนจะปรากฏชัดคือ “ปัญญาญาณ”
ความรู้แจ้งเห็นจริงที่ถอดถอนอวิชชาออกจากจิตใจ
เมื่อนั้น เราจะเป็นอิสระจากทุกข์ ด้วยการเข้าถึงธรรมที่แท้จริง
ธรรมที่ไม่ได้อยู่ไกลเลย
มันอยู่ที่นี่ ตอนนี้ ในทุกปัจจุบันขณะ
เพียงแต่เราต้องนิ่งพอที่จะเห็น
โฆษณา