9 ชั่วโมงที่แล้ว • การตลาด

📢 "Marketing Strategy ไม่เคยเปลี่ยน”

(บทเรียนจาก Steve Jobs ในปี 1991 แม้เวลาผ่านไปแต่นักการตลาดยุค AI ก็ควรเรียนรู้)
"The best marketing is still education" เมื่อกลยุทธ์ไม่เปลี่ยน แต่เครื่องมือเท่านั้นที่เปลี่ยน
====
💡 เมื่อ Steve Jobs สอนโลกเรื่อง “กลยุทธ์การตลาด” อะไรแก่เราในปี 1991?
ย้อนกลับไปในปี 1991  ยุคที่คำว่า “อินเทอร์เน็ต” ยังแทบไม่มีอยู่ในพจนานุกรมธุรกิจ Steve Jobs ขึ้นพูดในวิดีโอภายในของบริษัท NeXT Computer เพื่ออธิบายสิ่งที่เขาเชื่อว่าเป็นหัวใจของการตลาดที่แท้จริง ซึ่งแม้จะผ่านมา 30 กว่าปี แต่ก็ยังใช้ได้ดีในยุคที่โลกหมุนด้วย AI
“The best marketing is education. As we accomplish that education, more and more customers are gonna be asking us.”
หรือในคำแปลง่ายๆ คือ “การตลาดที่ดีที่สุด คือการให้ความรู้กับลูกค้า เพราะเมื่อเขาเข้าใจจริง เขาจะเป็นฝ่ายมาหาเราเอง”
ในเวลานั้น Jobs กำลังพยายามหาตำแหน่งทางการตลาดให้ NeXT ที่แข่งขันอยู่กับยักษ์ใหญ่อย่าง Sun Microsystems และ IBM เขาไม่ได้เลือกใช้โฆษณาเสียงดัง (ทุ่มงบประมาณมหาศาล) แต่เลือก “กลยุทธ์แห่งความเข้าใจ” คือ การอธิบายให้ลูกค้าเห็นภาพว่าทำไมเทคโนโลยีของเขาถึงแก้ปัญหาได้จริง และมันจะช่วยให้ชีวิตของมืออาชีพดีขึ้นอย่างไร
Clip : Steve Jobs talks marketing strategy in an internal NeXT video 1991, https://youtu.be/N2gcmddF5Mc?si=fAWkFDLRZ5BJINQl
====
🎯 กลยุทธ์ที่เรียบง่ายแต่เฉียบคม คือ “การตลาดคือการให้ความรู้”
* Jobs มองว่าการตลาดไม่ใช่ “ศิลปะแห่งการโน้มน้าว” แต่คือ “ศิลปะแห่งการให้ความรู้”  เพราะลูกค้าจะเชื่อในสิ่งที่เขา “เข้าใจด้วยตัวเอง” มากกว่าสิ่งที่ใครมาบอกให้เชื่อ
* ในปี 1991 เขาใช้แนวคิดนี้กับการสร้าง NeXT โดยเจาะตลาด Professional Workstation ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์หรือวิศวกร แต่เป็นมืออาชีพในสายอาชีพอื่นๆ เช่น แพทย์ นักออกแบบ และผู้บริหารที่ต้องการเครื่องมือทรงพลังแต่ใช้งานง่าย NeXT ไม่ได้ขาย “สเปก” ของเครื่อง แต่ขาย “ความเข้าใจ” ว่าทำไมมันจึงตอบโจทย์ชีวิตการทำงานของพวกเขาได้จริง
* กลยุทธ์นี้ทำให้ NeXT สามารถเอาชนะคู่แข่งอย่าง Sun Microsystems ได้ถึง 15 ครั้งรวดในการแข่งขันเสนอขายผลิตภัณฑ์ภายในระยะเวลาเพียง 3 เดือน ซึ่ง Jobs อธิบายว่าเกิดจาก “การฟังลูกค้าและต้องสอนลูกค้าในเวลาเดียวกัน” (ไม่ใช่แค่ไปฟังลูกค้าอย่างเดียว) พวกเขาไม่พูดแต่สิ่งที่เครื่องทำได้ แต่พูดถึง “สิ่งที่ลูกค้าจะทำได้” เมื่อมีมันอยู่ในมือ
====
🧭 จาก NeXT สู่ Apple = "การตลาดที่ข้ามยุคข้ามเวลา"
หลังจาก NeXT ถูกซื้อโดย Apple ในปี 1997 Jobs นำหลักคิดเดียวกันนี้กลับมาปลุกชีวิตให้แบรนด์ที่กำลังจะตาย ด้วยแนวคิดที่เน้น Purpose-driven Marketing หรือ การขาย “เหตุผลของการมีอยู่” มากกว่า “คุณสมบัติของสินค้า” แคมเปญ “Think Different” ในปี 1998 กลายเป็นตัวอย่างคลาสสิกของกลยุทธ์นี้ เพราะมันไม่ได้พูดถึงผลิตภัณฑ์เลยแม้แต่คำเดียว แต่พูดถึง “ความเชื่อ” ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนโลก
นับจากนั้น Apple ก็กลายเป็นองค์กรที่ใช้ “การให้ความรู้” เป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลังที่สุดในโลก ตัวอย่างเช่น
* Apple Store Today at Apple — Workshop ฟรีที่สอนผู้ใช้ตั้งแต่พื้นฐานการใช้ iPhone จนถึงการตัดต่อวิดีโอด้วย iMovie สร้างความผูกพันระยะยาวโดยไม่ต้องโฆษณา
* Apple Event Launches — การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ Jobs วางรากฐานไว้ เริ่มต้นด้วย “Why” เสมอ เช่น “เราทำสิ่งนี้เพราะเราเชื่อว่าเทคโนโลยีควรทำให้ชีวิตคนดีขึ้น” ก่อนจะเข้าสู่ “How” และ “What”
Clip : “Think Different” Campaign https://youtu.be/5sMBhDv4sik?si=1CdnFEJWSL45NIg_
====
⚙️ หลักการของ Jobs ที่ยังใช้ได้ในยุค AI Marketing?
1. Start with Why — เริ่มจากเหตุผล ไม่ใช่สินค้า
* ลูกค้าไม่ได้อยากรู้ว่าเราขายอะไร แต่เขาอยากรู้ว่า “เราทำไปทำไม?” เหมือนที่ Simon Sinek เคยกล่าวไว้ใน Start With Why  ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับที่ Jobs ใช้มาตลอด
* การตลาดยุค AI ต้องกลับมาถามตัวเองว่า “เรามีอยู่เพื่อแก้ปัญหาอะไรของมนุษย์?”
 
* ตัวอย่างเช่น เมื่อ Apple เปิดตัว iPod ในปี 2001 พวกเขาไม่ได้พูดว่า “เครื่องเล่นเพลง 5GB” แต่พูดว่า “1,000 เพลงในกระเป๋าคุณ” — ประโยคเดียวที่ตอบคำถามว่า “Why” และทำให้ทุกคนเข้าใจทันทีว่านี่คือการเปลี่ยนชีวิต ไม่ใช่แค่สินค้าใหม่อีกชิ้น
* Clip : Original iPod 1000 Songs in your pocket by Steve Jobs,  https://youtu.be/6SUJNspeux8?si=L1jDzaIggUfzoRlD
2. Teach, Don’t Push — ให้ความรู้แทนการยัดเยียด
* ในโลกที่ข้อมูลล้นทะลัก แบรนด์ที่ชนะไม่ใช่แบรนด์ที่ตะโกนดังที่สุด แต่คือแบรนด์ที่ “ทำให้ลูกค้าเข้าใจ” ลึกที่สุด
* HubSpot ใช้หลักนี้สร้างคอนเทนต์สอนการตลาดแบบ Inbound มานานกว่าสิบปีจนกลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม
* Canva สอนให้คนทั่วไปออกแบบได้โดยไม่ต้องเรียนดีไซน์
* และ Tesla ก็ใช้วิดีโออธิบายเทคโนโลยี Autopilot เพื่อให้ผู้ใช้เข้าใจ “ทำไมมันปลอดภัยกว่า” แทนที่จะขายด้วยคำโฆษณา
* การสอนอย่างจริงใจทำให้ลูกค้ากลายเป็นแฟนพันธุ์แท้และผู้เผยแพร่แบรนด์โดยธรรมชาติ
3. Clarity Beats Complexity — ความชัดเจนชนะความซับซ้อน
* Jobs เคยสอนทีมว่า “ความเรียบง่ายคือความหรูหราสูงสุด” และแนวคิดนี้ยังเป็นแกนกลางของการสื่อสารทางการตลาดยุค AI เมื่อเทคโนโลยีซับซ้อนจนผู้บริโภคสับสน การพูดให้เข้าใจง่าย กลับกลายเป็นจุดแข็งสำคัญ
* เช่น Netflix ที่สื่อสารเพียงสั้นๆ ว่า “ชมได้ทุกที่ ทุกเวลา” หรือ Google ที่ใช้คำโปรยเรียบง่าย “Search what you need.” ความชัดเจนเช่นนี้สร้างความน่าเชื่อถือและทำให้แบรนด์เป็นที่จดจำได้ยาวนาน
====
🔍 การตลาดแบบ “Educate to Win” ในยุค AI
* ปี 1991 Steve Jobs ใช้ Demo และ Workshop เพื่อ “สอน” ลูกค้าทีละกลุ่ม ปี 2025 นักการตลาดใช้ TikTok Shorts, Webinars, และ AI Chatbots เพื่อทำสิ่งเดียวกันในระดับมหาชน หลักคิดไม่เปลี่ยนเลย
* เพียงแต่เครื่องมือเปลี่ยนจาก “ห้องประชุม” เป็น “หน้าจอมือถือ” การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนว่าโลกของการตลาดกำลังเดินจากการสื่อสารแบบหนึ่งต่อหนึ่งไปสู่การสื่อสารแบบหนึ่งต่อหลายล้าน แต่เป้าหมายยังคงเดิม  ทำให้ผู้คนเข้าใจและอยากมีส่วนร่วม
ตัวอย่างเช่น
* Duolingo ใช้ AI ช่วยสอนภาษาในรูปแบบเกม ทำให้ลูกค้า “เรียนรู้ก่อนซื้อ” ในเชิงพฤติกรรม และยังใช้ระบบแจ้งเตือนแบบ gamification เพื่อรักษาแรงจูงใจของผู้เรียน ทำให้แบรนด์กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน
* Notion สร้างคอนเทนต์สอน Productivity ผ่าน YouTube และ Community Workshop ก่อนให้คนรู้ตัวว่าตัวเองต้องการสมัคร Pro Plan พวกเขาไม่ขาย แต่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าการอัปเกรดคือทางเลือกที่สมเหตุสมผลที่สุด
* Adobe เปิดโครงการ Creative Cloud Learn ที่ให้คอร์สฟรีแก่ผู้ใช้ทั่วโลก เพื่อให้คนเรียนรู้และทดลองใช้เครื่องมือจนเกิดความมั่นใจ ก่อนจะยอมจ่ายเงินซื้อแบบสมัครสมาชิก
* Tesla ใช้การสื่อสารเชิงความรู้ผ่านวิดีโอสาธิตเทคโนโลยี Autopilot และระบบพลังงานสะอาด ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจวิธีการทำงานของผลิตภัณฑ์และรู้สึกเชื่อมั่นในคุณค่าของแบรนด์
ในแต่ละกรณี “การให้ความรู้” กลายเป็นกลยุทธ์ที่ทั้งสร้าง Brand Equity และ Customer Loyalty ในระยะยาว โดยไม่ต้องใช้โฆษณาแพงๆ เลย ที่สำคัญ มันยังช่วยย่นระยะเวลาในการตัดสินใจซื้อ เพราะเมื่อผู้บริโภคเข้าใจอย่างถ่องแท้ เขาจะกลายเป็นลูกค้าด้วยความสมัครใจมากกว่าการถูกชักจูง
====
🌍 บทเรียนใหญ่ของยุค AI Marketing คือ “กลับไปสู่หลักการพื้นฐาน”
ทุกครั้งที่เทคโนโลยีเปลี่ยน โลกมักเข้าใจผิดว่า “หลักการเก่าใช้ไม่ได้แล้ว” แต่จริงๆ แล้ว “หลักการไม่เคยเปลี่ยน” Steve Jobs เคยกล่าวไว้ว่า
“Technology alone is not enough. It’s technology married with liberal arts that makes our hearts sing.”
ประโยคนี้สะท้อนแนวคิดลึกซึ้งของ Jobs ว่า การตลาดและนวัตกรรมไม่เคยแยกขาดจาก ‘มนุษย์’ ได้เลย แม้ AI จะช่วยวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าได้ละเอียดระดับพฤติกรรมจิตใต้สำนึก แต่หากขาดความเข้าใจในอารมณ์ ความฝัน และแรงบันดาลใจของผู้คน ผลลัพธ์ก็จะกลายเป็นเพียงตัวเลขที่ไร้ชีวิต
* ลองดูตัวอย่างจริงจากองค์กรยุคใหม่ เช่น Airbnb ที่ใช้เทคโนโลยี AI เพื่อช่วยจับคู่ที่พัก แต่หัวใจของกลยุทธ์ยังคือการ “สร้างความไว้วางใจระหว่างคนแปลกหน้า”
* หรือ Nike ที่ใช้ข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าผ่านแอป Nike Run Club เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจในการวิ่งมากกว่าการขายรองเท้า ทุกกรณีนี้ตอกย้ำว่า เทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือ แต่สิ่งที่ขับเคลื่อนการตลาดให้สัมฤทธิ์ผลคือ ‘การเข้าใจคน’ อย่างลึกซึ้ง
ดังนั้น คำพูดของ Jobs จึงไม่ใช่แค่ปรัชญา แต่คือแนวทางปฏิบัติของนักการตลาดยุคใหม่ ใช้เทคโนโลยีเพื่อขยายความเข้าใจมนุษย์ ไม่ใช่แทนที่มัน เพราะหัวใจของการตลาดไม่ใช่เครื่องมือ แต่คือการ “เข้าใจคน” อย่างแท้จริง
====
✨ ดังนั้น “คนที่เข้าใจหลักการ” จะอยู่รอดเสมอ
Steve Jobs ไม่ได้สอนให้เรา “ขายเก่ง” แต่สอนให้เรา “เข้าใจมนุษย์”  เพราะเมื่อคุณเข้าใจลูกค้าจริง คุณไม่จำเป็นต้องพูดเยอะ เขาจะเข้าใจเอง
ในโลกที่ AI สร้างคอนเทนต์ได้ในไม่กี่วินาที สิ่งที่ยังหายากที่สุดคือ “กลยุทธ์” ที่มีหัวใจของมนุษย์อยู่ในนั้น และนั่นคือเหตุผลที่คำพูดของ Jobs จากปี 1991 ยังข้ามเวลามาเตือนใจนักการตลาดยุคนี้ได้อย่างทรงพลังว่า
“The best marketing is still education.”
#วันละเรื่องสองเรื่อง #SteveJobs #MarketingStrategy #NeXT #EducationMarketing #Apple #Innovation #AIMarketing
โฆษณา