24 ต.ค. เวลา 03:09 • ปรัชญา
เรื่องของ การที่มีกาย จิตอาศัยอยู่ในกายนี้ ที่พ่อแม่ ให้มาตั้งแต่เกิด กายตั้งนี้ตั้งอยู่ดับไป กว่าจะถึงเวลาดับ ก็ใช้เวลา กว่าจะถึงที่ดับถึงเวลาตาย ระหว่างที่กายนี้ยังไม่ดับ มีอะไรเกิดบ้าง ต้องกินอาหารมาหล่อเลี้ยงร่างกาย ไม่กินตายแน่นอน เมื่อต้องกิน ก็กินพอประทังสังขาร
คราวนี้ แค่กินพอประทังขารตัวเอง มันไม่พอ ก็ไปหาภาระอีก ไปเอาสิ่งนั้นสิ่งมาเป็นภาระ อยู่คนเดียว ไม่พอ ต้องไป อยากมีภาระหาสามีภรรยาเอามาเป็นภาระ มีลูกมาหลาน หาบ้านช่อง รถรามา .. เวลาไปหาภาระมา มันก็ต้องใข้กายไปหาเงินทอง เหน็ดเหนื่อย มีการใช้อารมณ์ต่างๆคล้องเวรกรรม เกี่ยวพันคนนั้นคนนี้ วัตถุสิ่งทั้งคนหมู่สัตว์ สิ่งมีชีวิตไม่มีชีวิต มีกิริยากายวาจาใจด้วยอารมณ์ โลภโกรธหลง ราคะ ตัณหา ชอบไม่ขอบ ติเตียน วิพากษ์วิจารณ์ รูปสวย ต่างๆมากมาย กายก็แก่ เฒ่า ชรา ไปเรื่อยๆ
เอ. สิ่งต่างๆในกายนี้ มันไหลออกมาได้อย่างไรนะ ใครเป็นผู้ที่ที่สั่ง ให้ใช้กายไปหามา ..ค่อยๆ ทบทวน ไปนั่ง นั่นค้นในตัวตน ปฏิบัติธรรมขึ้นมา ภาวนาพุทโธ จิตเรานิ่งเฉย ได้ มีความสุข
เอ..หากกายเรานิ่ง จิตเรานิ่ง ได้ มันไม่มีภาระอะไร ก็ค่อยๆทบทวนดู ภายในกายนี้ มันมีอะไรอีก ..เอาไอ้ตัวอยากนี่เอง พอกายเราไม่นิ่ง จิตไม่นิ่ง มันก็อยากตะลุกไปนั้นไปนี่ เดี๋ยวไปกินน้ำ กินข้าว .โอ้ย..ไอ้นี่เอง ที่มันคอยจูงจิต ให้ไช้กายไปตามความอยาก ที่จิตนั่นเขื่ออารมณ์ หลงไหลอารมณ์ ยึดอารมณ์เหมือนดังครูบาอาจารย์เป็นพญามารพาไปสร้างกรรม
อ้อ..กายเรานิ่ง จิตเรานิ่ง เราเหมือนอยู่ในห้องพระนิพพาน มีแสงสีเหลือง สีขาวใส สีเขียว(บ่งบอกปัญญาธรรม) ..อ้อมีสีดำ สีม่วงสีน้ำตาลเราดูสีนั้นมันแปรเปลี่ยนเป็นอารมณ์ ราคะตัณหา ความอยาก โลภโกรธหลง นำพาให้จิตมีกรรม ไปมีกายเป็นหมูหมากาไก่ นรกเปรตอสุรกาย สีต่างๆที่เกิดขึ้นมาสีเวรสีกรรม เราก็ขนเอาอารมณ์ต่างๆออกไปทิ้ง สิ่งที่อารมณ์สมมุติขึ้นมาให้หลงใหล ทิ้งมันไปให้หมด อารมณ์เค้าสมมุติ ..เราทำให้เป็นห้องพระวิมุตติ
โฆษณา