24 ต.ค. เวลา 11:46 • การเมือง

ไม่ว่าใครก็ต้องถูกตรวจสอบ จะบีบน้ำตาเพื่อ…?

กับการแถลงดราม่าแห่งวันนี้
มันก็เป็นเรื่องของการเล่นกับกระแสมากกว่าเอาเนื้อหา
…ตามเคย….
แต่ถ้ามองในมุมผมเอง ที่เป็นเจ้าของกิจการ
ที่อยู่กับระบบบัญชีตลอดเวลา
ผมคงต้องบอกว่า “เนี่ยเหรอชี้แจง?”
คือ ผมไม่เห็นว่ามันเป็นการชี้แจงอะไรที่มีสาระตรงไหน
ที่จะบอกได้ว่าที่พูดมา อะไรคือความโปร่งใส อย่างไร
โทษนะครับ การชี้แจงรายรับรายจ่าย เงินแค่ 200 ล้าน
ถ้าเป็นบริษัทเอกชน คุณจะเอาเอกสารนี่ ผมบอกได้เลย
…เขาทำให้คุณได้ในสองชั่วโมง หรือเร็วกว่า ทั้งนั้นแหละ…
…อย่าว่าแต่กับเวลาที่เจ้าตัวมีเวลาเตรียมมาแล้วหลายวัน
ตั้งแต่เกิดเรื่อง แล้วได้มาแค่นี้เลย…
จริงๆ ถ้าผมเป็นมูลนิธิที่ใสนะ ผมแจกไฟล์ PDF บัญชี
ออกสื่อเพื่อเคลียร์ตัวเอง ตัดปัญหาไปเลยด้วยซ้ำ ….
ในทางปฏิบัติแล้ว นิติบุคคลใดๆ ล้วนย่อมถูกตรวจสอบ
ไม่ใช่ว่าทำดี หรือไม่ดีอย่างไร แล้วจะบอกว่าไม่ขอรับ
การตรวจสอบได้
และไม่ใช่ข้ออ้าง ที่ว่าจะทำดีต่อไปหรือไม่ ตามปณิธาน
ของการก่อตั้งองค์กรการกุศล หากมันยังไม่ได้ถูกยกเลิกไป
การทำบัญชีองค์กรในปัจจุบัน ใช้คอมพิวเตอร์ทั้งนั้นแหละ
การเรียกดูบัญชีใช้จ่ายมันจึงง่ายแสนง่าย
อันไหนรับมาแล้ว อันไหนจ่ายแล้ว อันไหนค้างจ่าย
และจ่ายใคร จ่ายเท่าไหร่ มันเรียกดูได้อย่างรวดเร็วหมด
…หากการทำบัญชีนั้นตรงไปตรงมา ไม่มีลูกเล่นน่ะนะ…
เอาละ การรวบรวมรายรับจากใครที่ไหน
มันอาจดูยาก เนื่องจากคนบริจาคมีเป็นล้าน
แต่การสั่งจ่ายที่ออกจากแหล่งเดียวเนี่ย ง่ายมาก
และเป็นสิ่งที่ต้องชี้แจงมากที่สุด เพราะไม่มีใครติดใจ
อะไรนักกับการรับเข้าซะเท่าไหร่หรอก…
จ่ายอะไร ใคร เท่าไหร่ อันนี้คือประเด็นที่ต้องเคลียร์มากกว่า
ถามว่า ถ้าเป็นธุรกิจปกติ การออกมาบอกแค่ว่า
ฉันรับมาเท่านี้ จ่ายเท่านี้ เหลือเท่านี้ มันพอไหมที่จะบอกว่าใส
…แน่นอนว่าไม่พอ อย่างน้อยสรรพากรก็ไม่คิดแบบนั้น…
เหอะ ถ้ามันง่ายแค่นั้น องค์กรต่างๆคงไม่ต้องจ้าง
นักบัญชี ทนายรัษฎากร เงินเดือนสูงๆมาทำงานหรอก
และคงไม่ต้องมีกฎหมายบังคับ เรื่องผู้สอบบัญชีด้วย
ดังนั้น กับการพูดลักษณะนี้ของทางมูลนิธิ
ในสายตาคนที่เข้าใจระบบ มันจึงเหมือนไม่ได้พูดอะไร
ที่ช่วยสร้างความกระจ่างเลย แม้แต่นิดเดียว
โอเคแหละ ถ้าเป็นองค์กรแสวงผลกำไรอย่างบริษัท
ข้อมูลมันเป็นความลับ ที่ไม่อาจออกสื่อได้
หากจะต้องเคลียร์ตัวเอง มันทำได้แต่ส่งให้หน่วยงาน
รับผิดชอบอย่างสรรพากร หรืออื่นๆเขาตัดสิน
แต่กับมูลนิธิ ที่ทำเพื่อสาธารณะประโยชน์
ข้อมูลเหล่านี้ มันไม่มีทางที่จะบอกว่าเป็นความลับได้
การโยนให้มหาดไทยตรวจสอบ
โดยไม่แจงต่อสังคมไปพร้อมๆกัน มันก็น่าสงสัยแน่ล่ะ
…แล้วคุณจะมาตีโพยตีพายทำไม ในเมื่อคุณสามารถทำให้
มันกระจ่างต่อสังคมได้ตั้งแต่แรก…
…แล้วมันผิดเหรอ ที่คนเขาจะสงสัยคุณ…
ทำไมรายจ่ายถึงสำคัญ มากกว่าการจะแค่บอกว่า
ใช้เท่าไหร่ เหลือเท่าไหร่…
จ่ายเท่าไหร่ ต่องาน หมายความว่า เราจะตรวจสอบคุณได้
ถึงการใช้จ่ายนั้น ว่าสมเหตุผลหรือไม่
…เช่น คุณบอกว่า มันมีการสร้างถนนด้วย อันนี้ก็ต้องมาดูกันว่า
ไอ้ที่คุณไปจ้างเขาต่อเนี่ย มันสเปกอย่างไร จ่ายจริงเท่าไหร่
และมีการบวกกำไร อันผิดวัตถุประสงค์ของมูลนิธิไหม….
…แต่คุณก็ไม่ได้แจงส่วนนี้…
หรือการจ่ายให้ใคร มันก็มีเพื่อให้รู้ว่า คุณได้จ่ายเพื่อการจัดซื้อ
จริงๆ ไม่ใช่การเมคบัญชี หรือซื้อใบเสร็จมาจากไหน
…และเป็นการแสดงความโปร่งใสว่า ไอ้ที่จัดซื้อจัดจ้างไปเนี่ย
มันไม่ใช่ว่าไปเข้ากระเป๋าพรรคพวก หรือตนเองอย่างเดียว
ซึ่งมันก็เกี่ยวกับการฟอกเงินด้วยเช่นกัน
…แล้วก็นั่นแหละ คุณก็ไม่แจง แต่ออกมาขอความเห็นใจแทน…
…มันเพื่ออะไร ?….
ผมย้ำเลยว่า 200 ล้าน ไม่ใช่เงินที่มากอะไรเลย
สำหรับระบบบัญชีนิติบุคคลใดๆ ก็ตาม
แม่ค้าออนไลน์บางคนหมุนเงินมากกว่านี้ ยังแจงได้เลย
การหาเอกสารมาแจกแจง บัญชีที่ยังรันตลอดแบบนี้
ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายมาก
…แต่ เห็นสถานที่จดแจ้งทำการ มันเล็กมากอ่ะนะ…
…ทางมูลนิธิ อาจไม่มีพื้นที่ให้ตั้งคอมพิวเตอร์ก็ได้มั้ง….
…ก็ถ้าทำกันในสมุดเล่มยาว มันก็เลยนาน ไม่แปลก 555…
ไม่ยากครับ ถ้าอยากให้สังคมกลับมาสนับสนุนคุณ
และยัอนคืนคู่กรณี แบบเจ็บแสบ
ก็อย่างที่ผมบอก มันไม่ใช่ความลับทางธุรกิจอยู่แล้ว
แชร์ไฟล์ PDF บัญขีแต่ละโครงการลงหน้าเพจมูลนิธิไปเลย
จะยากอะไรล่ะ แล้วอีกส่วน จะให้ทางราชการตรวจสอบก็ว่าไป
การที่คุณโยนให้ภาครัฐอย่างเดียว ทั้งที่มีข้อครหาอยู่แล้ว
ว่ามีความสัมพันธ์กับอำนาจรัฐ แบบนั้น ใครเขาจะเชื่อคุณ
เลิกเถอะครับ เรื่องเอาความดี ความน่าสงสาร
มาเป็นเครื่องมือ เพื่อไม่ขอรับการตรวจสอบเนี่ย
เพราะมันเป็นคนละเรื่องกัน
ก็ดูวัดมากมายที่มีปัญหาตอนนี้สิ
ถามว่าช่วยชาวบ้านไหม ผมก็บอกได้เลยว่าข่วยจริง
แต่ไอ้ส่วนที่กระเด็นเข้ากระเป๋าพระขี้โกง
มันก็มีจริงๆเหมือนกัน
และไอ้ที่ฟอกเงิน มันก็มีจริงๆ
เพราะงั้น การจะบอกว่า ฉันทำดี แล้วทำไมต้องโดนแบบนี้
มันจึงเหมือนเป็นการมอมเมาสังคมให้หลงประเด็น
เพื่อเอาตัวรอดหรือไม่ เสียมากกว่า
ใสก็ไม่ต้องกลัวครับ คนทำดีที่ไหนก็เคยโดนด่ามาก่อนทั้งนั้น
…แค่เคลียร์ตัวเองได้ คุณก็จะสง่างามกว่าเดิมด้วยซ้ำไป…
…ซึ่งถ้าคุณห่วงครอบครัวจริงๆ คุณก็ควรทำ…
…ก่อนที่กรรมจะไปตกอยู่กับเด็ก ว่าเป็นลูกคนขี้โกง…
…ซึ่งนั่น จะแย่กับเด็กกว่าการไม่มีเวลาให้เขามาก…
สุดท้าย ผมขอตั้งข้อสังเกตเรื่องการทำถนนนิดนึง
เนื่องจากตัวเองก็เคยทำที่หมู่บ้านลูกน้อง
ไม่ใช่คนดีนะ แต่รำคาญ กลัวรถตัวเองพังหลุมมันเยอะ
และสงสารลูกคนงานตัวเอง ที่แพ้ฝุ่น
ที่จริงการขออนุญาตปรับปรุงพื้นที่สาธารณะ
มันมีขั้นตอนทางรายการที่ค่อนข้างวุ่นวายนะครับ
ต้องขออนุญาตกับท้องถิ่นเป็นลายลักษณ์อักษรเสมอ
ไม่ใช่ว่านึกจะทำก็ทำได้ แบบนั้นติดคุกได้ครับ
แม้จะทำให้ดีกว่าเดิมก็ตาม
ดังนั้น กรณีแบบนี้ ถ้าทางมูลนิธิได้ดำเนินงานจริงๆ
จนถึงขนาดบอกว่ามีงบประมาณค้างจ่ายที่ยังผูกพัน
อยู่กับเงินส่วนที่เหลือ ถึง 90 ล้านบาทนั้น
ทางมูลนิธิ สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องเปิดเผยเอกสารราชการ
ซึ่งมันต้องมีอยู่แล้ว เพื่อเคลียร์ตัวเอง
ก็นะ….
ต้นทุนทำถนนอัดดินแน่นราดยาง แบบตามชนบทส่วนมาก
ราคาต่อกิโลเมตร มันไม่เกินสองล้านห้าหรอก
…นี่ค้างอยู่ 90 ล้าน ก็หารเอาแล้วกัน ว่าต้องทำอีกกี่กิโลเมตร…
…เยอะกว่าหน่วยงานรัฐบางหน่วยอีกมั้งนั่น 555…
โฆษณา